แท้จริงแล้ว ทุกข์ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของคุณเลยแม้แต่น้อย

ทุกข์ ไม่ใช่ของเรา

ทำยังไงให้จิตสำนึก เป็นอิสระจากความทุกข์ ความสูญเสีย ความล้มเหลว ความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย

ในเมื่อเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถลดได้ ลดความทุกข์ได้ ลดความรู้สึกเจ็บปวดได้

ฤษีโบราณค้นพบว่า ความทุกข์ทั้งหมดที่ว่ามานั้น ไม่สามารถแตะต้อง ส่งผลกระทบแก่คุณได้เลย

ทำไม?

เพราะว่า พวกมันไม่ได้เป็นของคุณอย่างแท้จริง 

อธิบายง่าย ๆ สมมุติว่าคุณกำลังกลับไปที่รถของคุณในลานจอดรถ โดยข้าง ๆ รถคุณก็มีอีกคันจอดอยู่ ซึ่งมันเป็นรุ่นเดียวกันกับรถของคุณ สีเดียวกัน 

เหมือนจนมองจากระยะไกลแล้วคุณไม่สามารถแยกออกได้เลย ว่าเป็นของคุณหรือของใคร

เมื่อคุณเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น จึงสังเกตเห็นว่า มีคันหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกชนแล้วหนี 

ทันทีที่คุณเห็นรถพัง กังวลเกิดขึ้นทันที ไม่แน่ใจว่ามันเป็นรถของคุณหรือคนอื่น 

เมื่อคุณเดินเข้าใกล้จนเห็นรายละเอียดชัดขึ้น จึงเห็นว่ารถของคุณปลอดภัย แต่เป็นคันอื่นต่างหากที่โดนชนจนพังไป คุณรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ให้ลองพิจารณา ความเสียหายมีอยู่ และคุณจะเห็นความเสียหาย คุณประสบกับมัน แต่มันไม่มีผลกับคุณเลย เพราะ “ความเสียหายนั้นไม่ใช่ของคุณ” 

เนื่องจากความเสียหายไม่ใช่ของคุณ จึงไม่มีปัญหา

สมมุติต่อ ว่านี่เป็น เรื่องจริงเกี่ยวกับปัญหาชีวิตทั้งหมด ปวดหัว ตกงาน ผิดพลาด ฯลฯ สมมุติว่าปัญหาเหล่านั้นไม่ใช่ของคุณจริง ๆ และถ้าไม่ใช่ของคุณจริง ๆ พวกมันก็จะไม่มีผลกับคุณเลย มันเยี่ยมมากเลยใช่มั้ย?

แต่มัน จะเป็นไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?

หากคุณยังไม่เชื่อ ขอยกคำสอนของพระเวท มาสนับสนุน

ที่ว่า “คุณเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ แก่นแท้ของคุณคือความตระหนักรู้ หรือ คุณเป็นผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติ 

ทุกสิ่งที่คุณเห็น คุณเป็นพยาน(คนนอก)ที่มองเห็นเหตุการณ์อย่างมีสติสัมปชัญญะในทุกสิ่ง ภาษาสันสกฤต เรียกว่า Sakshi(ศักดิ์ศรี?) เพื่ออธิบายลักษณะพื้นฐานของคุณในฐานะผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติ หรือ พยานที่มีสติสัมปชัญญะ

ในฐานะผู้สังเกตุการณ์ คุณถูกแยกออกจากสถานการณ์อย่างชัดเจน เป็นหมวดหมู่ และแตกต่าง 

เมือนคุณเห็นกล้วย คุณ/ไม่ใช่/กล้วย นี่คือความต่าง

คุณเห็นลูกหมา คุณก็ไม่ใช่ลูกหมา แยกต่างชัด

และเมื่อคุณสังเกตเห็นมือของตัวเอง ในฐานะ Sakshi เป็นผู้สังเกตอย่างมีสติ คุณจะถูกแยกออกจากมือของคุณ 

เมื่อคุณมองดูร่างกายของตนเอง คุณก็รับรู้ ในแบบเดียวกับที่คุณมองดูกล้วย หรือ ลูกหมา นั้น

ร่างกายของคุณเป็นวัตถุที่คุณสังเกตเห็นเท่านั้น (เป็นร่างอวตาร?) ดั่งนั้นคุณจึงถูกแยกออกจากร่างกาย เพราะว่าคุณเป็นพยานที่มีสติ เป็นผู้สังเกต

แน่นอนว่า ร่างกายของคุณแตกต่างจากสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ เพราะคุณรู้สึกถึงความรู้สึกในร่างกายของคุณ รู้สึกร้อน เย็น กดดัน และ เจ็บปวด

นอกจากนี้ ตา หู จมูก และ ปาก ของคุณยังรับความรู้สึกอื่น ๆ เช่น สี เสียง กลิ่น และ รส อีกด้วย

ความรู้สึกเหล่านี้ถูกส่งไปยังสมองของคุณ เนื่องจากเครือข่ายประสาท ของคุณมีมากมาย คุณจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านี้ในใจของคุณ 

เมื่อมีความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้นในใจ คุณควรทำเพียงแค่สังเกตมัน ว่าความรู้สึกแต่ละอย่างเป็น วัตถุในจิตใจของคุณ เป็นวัตถุ(ที่ถูกฉายภาพโฮโลแกรม? )เข้าไปในจิต โดยคุณเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติ ที่รับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น ในสถานะผู้ที่เป็นสักขีพยาน

คุณไม่เพียงเห็นความรู้สึกเท่านั้น คุณยังเห็นความคิดของคุณด้วย เช่นเดียวกับความรู้สึก – ความคิดก็เป็นวัตถุทางจิต เมื่อความคิดผุดขึ้นในจิตใจของคุณ ความคิดเหล่านั้นก็จะเป็นที่รู้จักสำหรับคุณ ผู้ซึ่งเป็นผู้สังเกตอย่างมีสติ

นอกจากความรู้สึกและความคิดแล้ว อารมณ์ยังเกิดขึ้นในจิตใจของคุณด้วย เมื่อคุณมีความสุขหรือความเศร้า อารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น(ถูกสร้างขึ้น?)ให้เป็นวัตถุทางจิตใจ ที่คุณสังเกตได้เช่นเดียวกับความรู้สึกและความคิดของคุณ ในฐานะที่เป็น Sakshi คุณจะได้เห็นการไหลของความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่เกิดขึ้นในใจของคุณ

ในการใช้คำอุปมาสมัยใหม่ ราวกับว่ามีหน้าจออยู่ในใจของคุณ เหมือนกับในโรงภาพยนตร์ และบนหน้าจอนั้นจะฉายภาพ ความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของคุณ คุณเป็นเพียงแค่ Sakshi ผู้สังเกตอย่างมีสติ ผู้เฝ้าดูความรู้สึก ความคิด และ อารมณ์ที่ปรากฏบนหน้าจอจิตใจของคุณ และในฐานะผู้สังเกตการณ์อย่างมีสติ คุณจึงแตกต่าง และไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณสังเกตนั้น

ความคิดและอารมณ์ของคุณเป็นของจิตใจ ไม่ใช่ของคุณ คุณเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์อย่างมีสติ

และถ้าความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของคุณเป็นความผิดของคุณจริง ๆ ไม่ใช่ของคุณ แล้วจะส่งผลต่อคุณได้อย่างไร?

สักขีผู้เป็นพยานอย่างมีสติ นี่เป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดของฤษีโบราณ

เพื่อให้คำสอนเหล่านี้ชัดเจนขึ้น ให้สมมติว่าคุณกำลังนั่งสบาย ๆ ในโรงหนังเพื่อชมภาพยนตร์ เมื่อมีการฉายฉากเศร้าบนจอหนัง คุณรู้สึกเศร้าตาม และเมื่อถึงฉากที่มีความสุข คุณจะรู้สึกถึงความสุข มีความสุขตาม

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณตลอดเวลา เนื่องจากประสบการณ์ทั้งสุขและเศร้าถูกฉายขึ้นบนหน้าจอจิตใจของคุณ

ไม่ใช่แค่นี้ หน้าจอของจิตใจของคุณ สามารถฉายต่อเนื่องกันได้โดยไม่หยุด คือ ทุกสิ่งในขณะที่คุณตื่น และในขณะฝันด้วย โดยความฝันของคุณอาจจะออกมาในรูปแบบแปลก ๆ ได้ เหมือนหนังไซไฟ 

ถึงกระนั้น ในขณะนอน หากคุณหลับลึก ก็จะไม่ฝันเหมือนโรงหนังมืดสนิทไม่ได้ฉายหนังอะไรเลย 

แม้จะหลับลึก สติสัมปชัญญะของคุณยังคงเป็นผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติอยู่ เพียงแต่ว่าไม่มีกิจกรรมทางจิตใด ที่จำเป็นต้องใช้สติ เหมือนคุณอยู่ในโรงหนังมืดสนิท ไม่มีหนังฉาย

สติของผู้สังเกตุการณ์ของคุณไม่เคยดับ เหมือนไฟในตู้เย็น สติจะเปิดเผยก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอของจิตใจของคุณทุกช่วงเวลา ไม่ว่าคุณจะตื่น ฝัน หรือ หลับลึกจิตสำนึกนั้นคือคุณ คือแก่นแท้ของความเป็นคุณ ไม่สามารถเป็นวัตถุทางโลกอย่างแสงในตู้เย็นของคุณได้

เพื่อให้เข้าใจมากกว่านี้ ว่าคุณยังคงมีสติสัมปชัญญะและนอนหลับสนิทได้ดียิ่งขึ้น ลองนึกถึงภาพที่คุณยืนอยู่นอกบ้าน มองเข้าไปในหน้าต่าง ภายในบ้านสว่างไสวจากแสงโคมไฟที่อยู่ด้านข้างซึ่งคุณมองไม่เห็น ผนังห้องทาสีดำแต่มองเห็นเครื่องเรือนภายในห้องได้ชัดเจน สมมติว่าเรานำเครื่องเรือนทั้งหมดออกจากห้อง ยกเว้นโคมไฟ จากนั้นห้องก็ยังเต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟ แต่กลับมองเห็นแต่ความมืดมิด ถึงจะปิดไฟก็ยังเห็นแต่ความมืดมิดเพราะไม่มีอะไรในห้องนั้นให้มองเห็น

ในตัวอย่างนี้ ผนังที่มีสีดำแสดงถึงจิตใจของคุณ และการตกแต่งนั้นแสดงถึงความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของคุณ แสงแสดงถึงจิตสำนึกของคุณ

ขณะที่นอนหลับลึก ความรู้สึก ความคิด และอารมณ์จะหายไป จิตใจของคุณจะเงียบลงอย่างสิ้นเชิง

แต่ถึงอย่างนั้น จิตใจของคุณก็ยังคงตื่นอยู่ในจิตสำนึก

คุณยังคงอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่มีสติสัมปชัญญะ แต่ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจของคุณให้ถูกสังเกต เหมือนกับห้องว่างที่เต็มไปด้วยแสง การหลับลึกก็เหมือนการมองดูความมืดอันบริสุทธิ์ 

จากทั้งหมดที่อธิบายมา ช่วยยืนยันสิ่งที่ฤษีโบราณสอน ว่า ลักษณะที่แท้จริงของคุณในฐานะพยานที่มีสติ  

Sakshi = atma = sat cit ananda 

Sat คือ ความจริง ไม่ได้ถูกสร้าง และไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ยังคงอยู่แม้ในยามหลับสนิท

Cit คือ สติสัมปชัญญะ สามารถแสดงจิตให้กระจ่างแจ้งความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ได้ 

Ananda คือ อารมณ์ สงบสุขโดยสมบูรณ์ 

แต่ตอนนี้ต้องถามกลับไปว่า ทำอย่างไรถึงจะพอใจและสงบสุขอย่างสมบูรณ์ ในเมื่อหน้าจอจิตใจ เต็มไปด้วยฉากหงุดหงิด รำคาญ ฉากเศร้า ทุกข์ เจ็บใจ เคียดแค้น อยู่ตลอดเวลา? 

คุณสามารถคงความพอใจไว้ได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอของจิตใจของคุณ อย่างที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ คุณแตกต่างและแยกห่างไปจากทุกสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอความคิดของคุณ เพราะคุณเป็นผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติสัมปชัญญะของทุกสิ่งที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น อะไรก็ตามที่ฉายอยู่บนหน้าจอความคิดของคุณ จะเป็นจิตใจของคุณ ไม่ใช่ตัวคุณผู้สังเกตอย่างมีสติ

สมมุติว่าคุณกำลังดูภาพยนตร์และมาถึงฉากที่อกหักเป็นพิเศษ คุณอาจรู้สึกเศร้าที่ คุณอาจจะร้องให้ แต่คุณรู้ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนั้นไม่มีผลกระทบต่อคุณจริง ๆ ดังนั้นคุณจึงเพลิดเพลินกับฉากเศร้า คุณอาจจะชอบร้องให้ด้วยซ้ำ นอกโรงละคร คุณยังรู้สึกเศร้าเมื่อประสบการณ์เศร้าฉายขึ้นบนหน้าจอจิตใจของคุณ และเช่นเดียวกับในโรงละคร ประสบการณ์ที่น่าเศร้าเหล่านั้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณอย่างแท้จริง

คุณ ในฐานะผู้เป็นสักขีพยานที่มีสติสัมปชัญญะ คุณจะถูกแยกออกจากหน้าจอของจิตใจโดยสิ้นเชิง และไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ฉายออกมา

(ปล. ต้องหาข้อมูล มาสนับสนุนที่ชัดเจนกว่านี้ว่า ร่างนี้เป็นอวตาร ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียว คล้ายโรงหนังที่มี ตัวช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้สมจริงมากขึ้นด้วยการโยก พ่นลม พ่นละอองน้ำ และกลิ่น เพื่อหลอกและเพิ่มความสมจริง)

หากคุณสามารถเพลิดเพลินกับหนังเศร้าได้ ก็ต้องสามารถเพลิดเพลินไปกับฉากเศร้าของชีวิตได้เช่นกัน

ชีวิตก็เหมือนหนังยาว ที่มีฉากมากมาย ทั้งความสุข เศร้า ยากลำบาก สบาย ไม่สบาย ในบางฉาก 

จากคำสอนของ Vedanta เราสามารถเรียนรู้ว่าเรายังคงโอเค ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนหน้าจอของจิตใจเรา ดังนั้นเราจึงสามารถนั่งพักผ่อนและเพลิดเพลินกับแต่ละฉาก ในขณะที่มันถูกฉายออกไปในหนังชีวิตของเรา

ประสบการณ์แตกหักและสลายความคิดฟุ้งซ่านที่ก่อกวนในหัว

เคยรำคาญความคิดฟุ้งซ่านที่คอยกวนความสงบในใจหรือไม่? มันก่อตัวในหัวเหมือนเมฆดำทะมึน กดดันให้ทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา นี่คือประสบการณ์ที่ผมพบวิธีสลายมัน คุณก็ทำได้

ประสบการณ์แตกหักกับความคิดในหัว ความรู้สึก และ อารมณ์ ต้องมีสิ่งกระตุ้น

หากไม่มีสิ่งกระตุ้นแล้ว ความรู้สึก และ อารมณ์จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย เราเลี่ยงได้โดยการทำสมถะ นั่นคือ ตัดขาดจากผู้คนที่มีห่วงหรือถูกห่วงพ่วงด้วยความจำเป็น(เลี่ยงไม่ได้) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะยังไงเสีย สิ่งที่เราไม่ต้องการ ก็ต้องมาหาเรา กระตุ้นเราให้ฟุ้งซ่านอยู่ดี

หนังสือ CHATTER คุมเสียงในหัวได้ชีวิตง่ายทุกเรื่อง ราคาพิเศษ

หนี บ่วงพันธะ ไม่พ้น ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
เมื่อหนีไม่พ้น ก็ต้องเผชิญหน้า เพื่อพิจารณา
ใช้ปัญญา ทำความเข้าใจ
เข้าใจอะไร สาเหตุของการกระตุ้นนั้น
เริ่มจาก ปัจจัยภายนอก ที่เลี่ยงไม่ได้
จากนั้น สมองที่รับเรื่อง และ การตีความ

ปัญหา ไม่ได้อยู่ที่แรงกระตุ้น เพราะ เป็นเวรกรรม
แต่ความท้าทายของเราคือ การตอบสนอง ของสมอง
ตอบสนองที่ผิด คือ สร้างความขุ่นมัว สติก็หลุด หลุดหลงเข้าไปอยู่ในโลกของความคิด ความหลงลืมเกิดขึ้น

ดังนั้น อย่าโกรธ แหล่งกระตุ้น มันไม่ช่วย
แต่จงใช้เวลาพิจารณาการเกิดขึ้นของ การตอบสนองและตีความของสมอง ว่ามันขยาย มันฟู มันฟ้อง สร้างเรื่องราวให้ใจขุ่นมัวได้อย่างไร ตรงนี้ได้ปัญญามากกว่า

ทำไมสมองชอบฟู ตีฟอง แรงกระตุ้นให้ใหญ่โต?
มันเห็นว่าเป็นโอกาสในการ ยกคุณค่าของอัตตา
สังเกตจากการที่มัน สร้างเรื่องราวที่หมุนรอบตัวเรา ขยายความเป็นตัวเราว่าเป็นแบบนี้ แบบนั้น ผ่านการลดค่า ดูแคลนคน/ตัวกระตุ้น ว่าเป็นต้นตอให้เกิดความขุ่นมัว ทำตัวไร้สาระ เว่อร์เกินความจำเป็น (ให้คุณค่าที่ผิด)

จากการให้คุณค่าที่ผิด ทำให้สมอง สบโอกาสสร้างเรื่องราว แบบขุนพลอยพยัก ดึงเหตุการณ์เก่านั้นมาฉายวนซ้ำ เขาแย่/ฉันดี ซึ่งยิ่งสร้างยิ่งแย่ ในแง่ของความขุ่นมัวในใจ

หนังสือ ฝึกสมองไม่ให้ทุกข์ ราคาพิเศษ หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีกำลังใจต่อสู้กับความทุกข์ใจของตนเอง เพราะเมื่อคุณ “เห็น” สมอง ก็ย่อมเห็น “ทางออก” ของปัญหาได้ในที่สุด

เพราะจากนั้น มันจะแว้งกลับมาตั้งคำถามกับตัวเราว่า “ทำเกินไปหรือเปล่า?” แล้วมันก็ถึงเวลากระทืบเราแทน เราก็ทุกข์เพิ่ม เพราะจะเริ่มนึกถึงใจ/ความรู้สึกของอีกฝ่าย กลัวว่าเขาจะคิดแบบนี้แบบนั้น รู้สึกแย่กับเรา กลายเป็นขยายฟองของความคิดใหญ่โตขึ้นมาอีก

ทั้งที่ความจริงแล้ว มันเริ่มจากเหตุการณ์เล็ก ๆ คือ การได้รับ/แลกเปลี่ยนข่าวสาร เท่านั้นเอง

คนให้ข่าวสาร ไม่ได้กดดันเราเลย ก็แค่ส่งมา
ความผิดตกอยู่ที่ สมอง/การตีความ/ให้ค่าที่เพี้ยนของมัน
เข้าใจสมอง รับรู้ และให้มันจบที่สมอง ที่ความคิดของเรา
รับรู้ว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว เราทำไปแล้ว มันเป็นเหตุการณ์ความขุ่นมัว ดราม่า เป็นผลงานของสมอง ที่เกินจำเป็น ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวก็จะดับไป แล้วรอกระพือเรื่องใหม่ที่จะเข้ามา มันมีหน้าที่แค่นี้ อย่าให้ค่ามัน อย่าปล่อยให้ตนเองหลงตาม/เครียดตามเป็นทาสของมันเด็ดขาด

เวลาที่มีสตอรี่ ดราม่า ที่เกิดในหัว เป็นความคิด ให้ท้าทาย และ ถามตนเองว่า ตกลงความคิด เป็นเครื่องมือ หรือ นายของมึงกันแน่? ท้าทายไปเลย แล้วมันจะสงบเอง

จากประสบการณ์นี้มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่า
สมองนั้นไม่ใช่ของเรา ความคิดก็ไม่ใช่ของเรา
เพราะมันโจมตีไม่ใช่แค่คนอื่น แต่มันยังเล่นงานเราด้วย
มันสามารถแว้งกัด ทำให้เราทุกข์ใจได้ตลอดเวลา
ถ้ามันเป็นของเรามันต้องช่วยเรา มันต้องอยู่ข้างเรา ที่สำคัญมันต้องทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่เอาแต่กระตุ้นให้เกิดความทุกข์ได้ตลอดเวลา

ทุกครั้งที่ความคิดผุดขึ้นมา ให้บอกมัน/บอกตนเองทันทีว่า เป็นเรื่องของมึงแล้ว มึงไม่ใช่ตัวกู มึงไม่ใช่ของกู

มีแต่ความคิดที่เตือนสติ เท่านั้น ที่เป็นของเรา
ความคิดใดๆ ที่ทำให้เราทุกข์ ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรให้ค่า

ความคิด มี 2 ประเภท
ช่วยเหลือ กับ ไร้ประโยชน์
ช่วยเหลือ ช่วยวางแผน รับฟัง
ฟุ้งซ่าน กังวล ตีความไปก่อน ปัดทิ้ง

บทความคล้ายกันที่คุณอาจสนใจ

ปัญหาไม่เคยมีอยู่จริง คุณสร้างขึ้นมา ทุกข์ก็ไม่มีอยู่จริง

กำลังทุกข์เพราะปัญหา? แน่ใจได้มากแค่ไหนว่ามันเป็นปัญหาจริง ๆ หรือเป็นเพราะคุณไม่รู้ว่ามีทางเลือกอื่นที่มันแก้ไขได้ง่าย แค่คุณทำใจเย็น ผ่อนคลายแล้วคุณจะพบทางออก

คุณเคยจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต โดยหวังให้คุณทำสิ่งที่แตกต่างออกไปหรือไม่?

 คุณเคยนั่งฝันถึงสุดสัปดาห์ โดยใช้ชีวิตในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นหรือไม่?

 คุณเคยพบว่าตัวเองฝันกลางวันโดยหวังว่าคุณได้อยู่ที่อื่นหรือไม่?

นี่คือจำนวนที่ผู้คนใช้วันเวลาของพวกเขาจมอยู่กับความคิด ไม่ว่าจะฉายไปยังอนาคตหรือจมปลักอยู่กับอดีต

แต่ชีวิตที่แท้จริงของคุณ คือ “ตอนนี้” ปัจจุบันนี้ คุณมีพลังสูงที่สุด คุณมีอำนาจมากที่สุด คุณมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง แก้ไขทุกอย่างได้มากที่สุด คุณคือพระเจ้าในช่วงเวลาปัจจุบัน

[ปกใหม่] พลังแห่งจิตปัจจุบัน (The Power of Now) ราคาพิเศษ

เมื่อคุณนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต คุณจะนึกถึงมันในตอนนี้  มันเป็นร่องรอยของความทรงจำที่สามารถสัมผัสได้ในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น  

อาจดูเหมือนจริง แต่คุณสามารถสัมผัส รู้สึก หรือกระทำกับมันได้หรือไม่?  ไม่คุณไม่สามารถทำอะไรได้เลยกับอดีต

เหตุการณ์ในอนาคตก็เหมือนกัน  คุณสัมผัส ได้ยิน หรือสัมผัสถึงอนาคตก่อนที่เป็นอยู่ได้ไหม?  

แน่นอนว่าไม่  คุณสามารถจินตนาการถึงอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งสามารถทำได้ในตอนนี้เท่านั้น

ปัจจุบันจับต้องได้ที่สุด ปัจจุบัน คุณมีเลือดมีเนื้อ แต่อนาคต/อดีต ไม่มี ปัจจุบัน คุณสัมผัสมันได้ สัมผัสมือ หายใจ ฯลฯ แต่อนาคต/อดีต เป็นเพียงความกังวล/ความทรงจำ

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกช่วงเวลาปัจจุบัน  ทุกสิ่งที่คุณเคยสัมผัสหรือจะประสบเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทุกอย่าง

ปัญหาไม่มีอยู่จริงหรอกครับ

คู่มือฝึกปฏิบัติ พลังแห่งจิตปัจจุบัน The Power of Now ราคาพิเศษ

ปัญหาในอนาคตไม่มีอยู่จริง  พวกมันเป็นเพียงการคาดการณ์ในใจของคุณ  ข้อสังเกตนี้ทำให้คุณขุ่นเคืองหรือไม่?  ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าใช่แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าชีวิตทำให้คุณลำบาก หากเป็นคุณ ให้ถามตัวเองว่าตอนนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?

บางทีคุณอาจไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้  บางทีคุณอาจอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถึงวาระ  คุณอาจไม่สบายทางร่างกาย หรือกำลังจะตกงาน

สถานการณ์เหล่านี้เป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา  มันจะกลายเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อจิตใจของคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง

แล้วปัญหา กับ ความท้าทาย ต่างกันอย่างไร?

ความสามารถในการดำเนินการในทันที!!

สมมติว่าคุณไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้  คุณอาจกังวลเกี่ยวกับการถูกไล่ออกหรือหาที่อื่นที่จะอยู่อาศัย  

แต่คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่?  ไม่ เพราะยังไม่เป็นความจริง  

พวกมันเป็นเพียงอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งคาดการณ์โดยความคิดของคุณเท่านั้น

ความท้าทายแตกต่างกัน มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน และคุณสามารถดำเนินการเหล่านี้ได้

กลับไปที่ปัญหาการเช่า  ความท้าทายคืออะไร?  ตอนนี้คุณทำอะไรได้บ้าง  แทนที่จะกังวลว่าจะถูกไล่ออก คุณสามารถสมัครงานพาร์ทไทม์ ขายสิ่งของ หรือขอเงินกู้จากใครสักคน

เช่นเดียวกับ ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว  แทนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกับการเลิกรา บางทีคุณอาจต้องคุยกันเพื่อเคลียร์ใจ เปลี่ยนพฤติกรรม หรือเลิกกันจริงๆ

คุณสามารถทำเช่นนี้กับปัญหาที่รับรู้ได้ เช่น ความป่วยไข้ ดูเหมือนว่าจะมีคุณสมบัติสำหรับปัญหาในขณะปัจจุบัน  แต่มันไม่ใช่  ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มกังวลเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หรือหากคุณเริ่มแก้ไขตัวเองในวัยชราที่มีสุขภาพดีขึ้น

ฉันไม่ได้บอกว่ามันง่าย  การรับมือกับความเจ็บป่วยถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ — ฉันเองก็เคยลำบากมาก่อน — แต่สำหรับความเจ็บป่วยหรือความเจ็บปวดทางกาย การยอมรับเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด  สิ่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยจำนวนมาก แต่ที่สำคัญกว่านั้น การยอมรับเป็นความท้าทายที่คุณสามารถดำเนินการได้ในตอนนี้

ข้อคิด

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกตอนนี้ คุณจะมีความรู้สึก 

ได้กระทำ และทุกสิ่งที่คุณจะได้สัมผัส เกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น

ในทางกลับกัน ปัญหามีพื้นฐานมาจากเวลา 

คุณอาจจะเสียใจกับอดีตหรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต  แต่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในขณะนี้ และเป็นผลให้ไม่สามารถดำเนินการได้

ความท้าทายแตกต่างกัน  ความท้าทายอยู่ในขณะนี้และสามารถดำเนินการได้  นี่เป็นสิ่งสำคัญ  เพราะมันเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ซึ่งอยู่ในช่วงเวลานั้นเสมอ ที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้อย่างมีความหมาย

Problems don’t exist

คำพูดตรงๆ ที่คุณอาจขัดใจ

ให้ฉันอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้  

ก่อนอื่นเรามาดู ‘ปัญหา’ กันก่อนว่ามันคืออะไร?

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณพบปัญหา?

สมมติว่าคุณไปเยี่ยมเพื่อน คุณวิ่งไปที่สถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายในวันนั้นไปยังบ้านเกิดของคุณ  คุณมาช้าไปนิด คุณกำลังพยายามหาชานชาลาที่เหมาะสม และเมื่อมาถึงชานชาลาในระยะไกล คุณจะเห็นแสงไฟของรถไฟขบวนสุดท้ายหายไปในระยะไกล…

อะไรคือความจริงที่มีเหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์นี้?  ‘คุณอยู่ที่สถานีรถไฟ  คุณกำลังวางแผนที่จะขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายในวันนั้นไปยังบ้านเกิดของคุณและพลาดไป’ คุณสามารถพูดได้ว่านี่คือความจริงที่มีเหตุผลของสถานการณ์

เกิดอะไรขึ้นในจิตใจและร่างกายของคุณ?  

ความผิดหวังคืบคลานเข้ามา อาจจะตื่นตระหนก ความดันโลหิตของคุณสูงขึ้น ความทุกข์ใจ 

การตำหนิตัวเองเริ่มขึ้น

 ‘ทำไมฉันไม่ออกไปก่อนหน้านี้!?  

ฉันโง่มาก!’, 

‘ตอนนี้ฉันมีปัญหาใหญ่แล้ว!  

ฉันอยากกลับบ้านแต่ตอนนี้ทำไม่ได้!’, 

‘ฉันจะทำอย่างไรดี?  

ฉันอยู่คนเดียวที่นี่และฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย!’  

คุณนึกภาพสถานการณ์เหล่านี้ในใจ ในขณะที่คุณนั่งบนม้านั่งรอ 6 ชั่วโมงจนกว่ารถไฟขบวนถัดไปจะออกเดินทางในตอนเช้า… 

‘โอ้ ไม่ ฉันไม่ต้องการอย่างนั้น!  

ฉันอยากกลับบ้าน!  

ช่างเป็นความหายนะ!’ ฯลฯ … ฯลฯ …

สถานการณ์ที่แย่ ถือป็นปัญหาหรือไม่?

ในความเป็นจริงไม่มีปัญหา 

มีเพียงความจริงที่เปลือยเปล่าที่มีเหตุผลในขณะนี้ ซึ่งอาจต้องการให้คุณดำเนินการบางอย่าง

ใช่…คุณพลาดรถไฟขบวนสุดท้ายกลับบ้าน  

ปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอในจิตใจ และจะพบได้เฉพาะในจิตใจเท่านั้น  มันเหมือนกับแว่นกันแดดที่คุณมองสถานการณ์ที่เป็นกลาง  สถานการณ์ไม่มีดราม่า มีแค่คุณที่สถานีรถไฟกับรถไฟที่ออกแล้ว เราม่าอยู่ในแก้วสีที่เรียกว่าการตีความ/ปรุงแต่ง…

การตีความเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน  คนหนึ่งอาจตื่นตระหนก อีกคนอาจหัวเราะ และต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง

เช่นเดียวกับเดือนที่แล้ว… การตีความเป็นไปตามอำเภอใจ ผู้คนจำนวน 7,7 พันล้านคนบนโลกใบนี้ แต่ละคนมีการตีความสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป

เหตุใดความแตกต่างระหว่างสถานการณ์ที่มีเหตุผล และการตีความ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อคุณเป็นโรคซึมเศร้า?

เมื่อคุณเป็นโรคซึมเศร้า คุณอาจกำลังสวม ‘แว่นกันแดดสีเข้ม’ ทั้งที่สถานการณ์จะเป็นกลางเสมอ แต่การตีความในจิตใจคุณทำให้มืด  

สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในแบบที่มันเป็น เป็นเหตุผลโดยสิ้นเชิง  ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก มันก็แค่สิ่งที่มันเป็น

ชั้นของการตีความซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น 

จุดนี้คือที่ที่ประสบการณ์ถูกระบายสี  

บางครั้งสีก็เป็นสิ่งที่ดี บางครั้งสีเข้มก็เป็นปัญหา

ข่าวดีก็คือเมื่อคุณสวมแว่นกันแดดสีเข้ม คุณต้องเปลี่ยนแว่นด้วยสีที่เบากว่าเพื่อประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น แต่คุณคิดว่า “ใช่ เยี่ยมมาก Einstein แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ!”  

ใช่ มันทำยาก มันเป็นกระบวนการ คุณไม่อาจเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน แต่ถ้ามันทำยาก แปลว่ามันเป็นไปได้!  

และหากเป็นไปได้ ด้วยความอดทนและความพากเพียร คุณสามารถถอดแว่นดำอย่างช้าๆ และมองเห็นแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ  ทุกย่างก้าวแม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็เข้าใกล้ความสว่างและความสุขมากขึ้น

จะเริ่มที่ไหน?

‘แล้วฉันจะทำอย่างไรดี’ 

… เริ่มด้วยการตระหนักถึงสถานการณ์ที่มีเหตุผลผ่านแว่นดำที่คุณอาจใส่อยู่ตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ซึ่งสถานการณ์ที่ไม่เป็นกลางอย่างดราม่ากำลังเกิดขึ้นที่นี่และตอนนี้  

ถอยออกมา ลืมเสียงเล็กๆ ในใจที่แสดงความคิดเห็นและอารมณ์ที่เกี่ยวข้องไปชั่วขณะ แล้วจดจ่อกับสถานการณ์ที่เป็นกลางในตอนนี้และตอนนี้

‘อะไรคือของจริงที่นี่และตอนนี้’ 

ให้คำถามนี้เป็นมนต์ของคุณ  

หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้ยืนนิ่งสักครู่  มองไปรอบๆ ที่คุณอยู่ ดูความสงบของสิ่งของรอบตัว ฟังเสียง สัมผัสลม ชมสถานการณ์ที่ไม่ดราม่าในตอนนี้

ให้ถามตัวเองว่า ‘อะไรจริงที่นี่และตอนนี้’ และหายใจลึก ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกสงบแม้เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เสียงเล็กๆ ในใจจะเริ่มแสดงความคิดเห็น 

เสียงในใจนั้นจะเริ่มพูดประมาณว่า 

‘โอ้ ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นเสมอ  ฉันเหรอ’, 

‘โลกนี้ต่อต้านฉัน!’ 

‘โอ้ ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย’ 

‘มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด’ ฯลฯ 

… ทั้งหมดนี้เป็นของแว่นกันแดดสีเข้ม(อคติ/การเข้าใจผิด/การปรุงแต่งของความคิด) ไม่ใช่ของคุณ ไม่ได้ออกมาจากตัวตนที่แท้จริงของคุณ

ยิ่งคุณเห็นความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเห็นว่าคุณมีทางเลือกว่าจะตีความสถานการณ์อย่างไร แว่นกันแดดแบบไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด

และสุดท้าย ให้จดจ่ออยู่กับความจริงอันเงียบสงบในช่วงเวลานี้  หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับจิตที่ปรุงแต่งสถานการณ์ให้ผิดเพี้ยน แต่งแต้มสถานการณ์ด้วยความคิด  

เมื่อคุณตระหนักว่าความคิดเห็นที่มืดมนของจิตใจไม่มีประโยชน์กับคุณ มันจะไม่มีประโยชน์สำหรับคุณและชีวิตของคุณ 

หลังจากที่คุณหมดความสนใจที่จะฟังความคิดเห็นเหล่านั้นและพวกมันก็จะหายไป คุณรู้ความจริงเกี่ยวกับช่วงเวลานี้ คุณรู้ดีกว่ามัน!

เรียนรู้ที่จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงที่สงบสุขในช่วงเวลานี้กับแว่นกันแดดในจิตใจของคุณ  มีคนพูดว่า ‘ความจริงจะทำให้คุณเป็นอิสระ’… นี่คือสิ่งที่พวกเขาหมายถึง…

ขอให้โชคดีมีความรักและพลังมากมายสำหรับคุณ

บทความคล้ายกันที่คุณอาจสนใจ

วิธีแก้ทุกข์ จากความรู้สึก ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย

ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ หาทางเข้ามาในชีวิตของเราทุกด้าน เราไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของเรา ในส่วนสูง ในเสียงของเรา นอกจากนั้น ความไม่มั่นใจอาจมีสาเหตุมาจากการถูกรังแกที่โรงเรียน หรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดียตลอดเวลาแล้วเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อีกทั้งประสบการณ์ในอดีตสามารถติดตามมาหลอกหลอนเราได้ตอลดทุกเมื่อ จากอดีตรวมถึงขั้นหลอกหลอนความมั่นใจในตนเองของเราในปัจจุบัน หรือหลายครั้งที่เหตุการณ์ประจำวันสามารถกระตุ้นความรู้สึกขาดอะไรไป ส่งผลให้ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัยได้เช่นกัน

วิธีแก้ทุกข์ จากความรู้สึก ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย

นักจิตวิทยาบอกว่า ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ทั้งหมดของเราอาจมีสาเหตุมาจากการขาดความภาคภูมิใจในตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดจากความคิดที่เราพูดถึงตัวเองในหัวอยู่ตลอดเวลาโดยวนเวียนอยู่กับความคิดเชิงลบ เช่น เรามีความสงสัยในตนเองว่ายังดีไม่พอหรือเปล่า (บางครั้งก็ด่าทอตนเอง กดดัน ด้อยค่าตนเองก็มี) และที่สำคัญเราชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง ส่งผลให้ตัวเองมักรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะเป็นตัวเอราเองที่ไม่ให้คุณค่ากับความเป็นอยู่ที่ดี/ข้อดี/จุดแข็งของเราในปัจจุบันนี้ครับ

คนที่มีความรู้สึกไม่มั่นคง มักรู้สึกประหม่า วิตกกังวล หรือลังเลใจในบางเรื่อง แม้ว่าพวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจ พอใจ หรือมั่นคงในตัวเองเลย

ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยมีอยู่ 3 ประเภทนี้ครับ

  1. ความไม่ปลอดภัยส่วนบุคคล เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปลักษณ์หรือเสียงของคุณ และวิธีที่คนอื่นมองคุณ ถือเป็นความไม่มั่นคงในระดับผิวเผินสำหรับคนนอก(ที่สังเกตคุณ) มันก็คล้ายกับความกังวลเกี่ยวกับผมหรือเสื้อผ้าหรือตำหนิที่ไม่พึงประสงค์เท่านั้นเองครับ (แต่สำหรับเราแล้วมันเรื่องใหญ่มาก อย่างกับไปทำอะไรผิดกฎหมายประมาณนั้นเลย) สิ่งที่เราเอไปคิดมากเกินเบอร์นี่แหละที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมา ต้นตอสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคงส่วนบุคคลคคือ บุคลิกนิสัยพื้นฐานของเราเอง(ที่มาจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม) รวมถึงตัวร้ายสำคัญก็คือ โซเชียลมีเดีย นี่เองครับ
  2. ความไม่มั่นคงทางอาชีพ ในการทำงาน เกิดขึ้นในที่ทำงานของเรา และทำให้ผู้คนกังวลและประหม่าที่จะนำเสนอหน้าที่ประชุม/หรือไอเดียในกลุ่มหรือพูดมันออกมาครับ ความไม่มั่นคงเรื่องนี้มันทำให้คนเกิดความสงสัยในตนเองและทำให้เราชื่อว่าไม่ดีพอสำหรับการเลื่อนตำแหน่งหรือรับความเสี่ยงที่มากขึ้น และทำให้เราพลาดการบรรลุเป้าหมายที่อุตส่าห์ตั้งไว้อย่างดี
  3. ความไม่มั่นคงของความสัมพันธ์ ถือ เป็นเรื่องปกติและสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ มันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่คู่ควรกับคู่ครองของคุณและกับคนอื่น ๆ ความไม่มั่นคงเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความหึงหวง การโต้เถียง และพฤติกรรมครอบงำ ความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์อาจเกิดจากประสบการณ์ในอดีตกับคู่ครอง/แฟนคนก่อน หรือเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ หากพวกเขาสร้างบาดแผลใดๆให้ฝังใจของคุณครับ

สาเหตุของความไม่มั่นคงของเรามาจากไหน? (ถ้ารู้ก็สามารถเอาชนะมันได้)

การวิจัยพบว่า 40% ของความสุขของเรามาจากการที่เราได้สัมผัสกับเหตุการณ์ในชีวิตล่าสุด ส่วนความทุกข์นั้นจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความล้มเหลวในแง่มุมใดๆ ของชีวิตก่อน จากนั้นมันจะแทรกซึมเข้าไปในสมองสะสมสร้างความสงสัยในตนเอง แล้วก็จะส่งผลเสียต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความมั่นใจของเรา จนกลายเป็นความทุกข์ในที่สุดครับ

คุณเคยมีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาหรือไม่? พวกเขาตัดสินรองเท้าของฉันหรือไม่? พวกเขาคิดว่าฉันหัวเราะดังเกินไปหรือเปล่า? ฉันพูดอะไรโง่ๆ หรือเปล่า? ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่คนที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ขากความมั่นใจในตัวเองครับ

นักจิตวิทยาแนะนำ 10 เคล็ดลับในการเอาชนะความไม่มั่นคง/ไม่มั่นใจในตัวเอง ดังนี้

  1. เผชิญหน้ากับความรู้สึกของคุณ แทนที่จะหลีกเลี่ยง
  2. เรียนรู้ที่จะสร้างและมี growth mindset และตั้งเป้าหมายที่มั่นคง
  3. เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความพ่ายแพ้ แต่อย่าปล่อยให้มันควบคุมคุณให้เป็นผู้แพ้
  4. โอบรับคุณลักษณะและความหลงใหลทั้งหมดของคุณ
  5. ท้าทายความคิดเชิงลบของคุณ อย่าได้รีบเชื่อ แต่จงตั้งคำถามก่อนว่ามันมั่วหรือเปล่า และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  6. เข้าไปอยู่ในสังคมด้วยผู้คนที่เป็นบวกและให้กำลังใจ
  7. หมั่นฟัง/อ่านเรื่องราวของคนอื่นที่เขาสามารถเอาชนะความไม่มั่นคงของตนเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ว่าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน
  8. ลองสิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น
  9. ปล่อยวางผู้คนและสถานการณ์ที่กระตุ้นความไม่มั่นคงของคุณ อย่าเอามาคิดมาก มันไม่ใช่ของ ๆ เรา
  10. จงเป็นเพื่อนที่ดีของตัวเอง รู้สึกภูมิใจกับความก้าวหน้าของคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

ลองทำตามดูครับ ถ้าเราเข้าใจสาเหตุ ที่มาของความทุกข์ แล้วเรารู้ทันมัน ค่อย ๆ พิจารณามัน ในที่สุดเราก็จะค่อย ๆ สลายพลังความทุกข์นั้นได้แน่นอนครับ สู้ ๆ ครับ ความทุกข์ไม่ได้เป็นภัยหรอก แต่มันช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นต่างหากล่ะครับ

สุดยอดเคล็ดวิธีเอาชนะความวิตกกังวลให้หายไปในทันที!

ในโลกออนไลน์ฝรั่ง มีคนตั้งคำถามว่า “ฉันจะเอาชนะความวิตกกังวลในทันทีได้อย่างไร?
ก็มีนักจิตวิทยาแนะนำเคล็ดวิธีทำให้ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมได้อ่านแล้วพบว่ามันดีมากจริง ๆ และช่วยเอาชนะ/ขจัดความวิตกกังวล ความเครียด ลดความทุกข์ได้จริงครับ
ปล. เคล็ดบางอย่างอาจทำยากในสองสามครั้งแรกที่คุณลอง แต่ถ้าคุณฝึกฝนทำไปเรื่อย ๆ ให้ชินใจ เคล็ดเหล่านี้ก็จะปูทางที่รวดเร็วไปสู่ความสงบทางจิตใจและบรรเทาจากความรู้สึกวิตกกังวลของคุณได้แน่นอนครับ
นี่คือเคล็ดสั้น ๆ โดยสรุป (แต่อยากให้อ่านคำอธิบายแบบเต็ม ๆ จะได้ไอเดียที่ละเอียดกว่านะครับ)

ใช้ได้จริง สุดยอดเคล็ดวิธีเอาชนะความวิตกกังวล ให้หายไปในทันที!
  1. หายใจลึก ๆ
  2. ตระหนกที่คุ้นเคยคือการหายใจลึก ๆ
  3. ยอมรับว่าคุณกำลังเครียด วิตก อยุดพิจารณามัน
  4. ลองใช้เทคนิคการเผชิญปัญหา 5-4-3-2-1
  5. ลองใช้เทคนิค File it
  6. วิ่ง
  7. คิดถึงเรื่องตลกๆ
  8. เปลี่ยน/ทำกิจกรรมที่ลดความเครียด/สบายใจมากกว่า
  9. อาบน้ำเย็น (หรือแช่น้ำแข็ง)

สาเหตุของความรู้สึกวิตกกังวล
เริ่มต้นจากมีบางอย่างทำให้คุณผิดหวังครับ แล้วจากนั้นไม่นานนัก คุณจะรู้สึกติดอยู่ในวังวนแห่งความคิดที่วนเวียนฟูฟ่องในหัวไม่รู้จบ สมองของคุณจะพยายามสร้างซีนารีโอมากมาย คิดทุกอย่างที่เป็นไปได้ที่อาจผิดพลาดได้ มันก่อให้เกิดความเครียด แล้วสองก็จะทำงานต่อด้วยการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ยังผลทำให้ร่างกายของคุณเกร็ง หายใจเร็วขึ้น และคุณได้ยินเสียงหัวใจเต้นในหูตุบตับ ๆ ๆ

เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกถึงอาการเหล่านี้ แสดงว่าคุณมีความวิตกกังวลเแล้วล่ะครับ ให้หยุดกิจกรรมใด ๆ (ถ้าทำได้) บอกตัวเองว่าถึงเวลาสงบสติอารมณ์แล้ว ขั้นตอนแรกที่นักจิตวิทยาแนะนำก็คือ คือ “การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกนั้น” อย่ารีบแก้ แค่รับรู้ หยุดฟังเสียงเตือนของมัน (ความกังวล/เครียด เหมือลูกคุณส่งเสียงร้องให้จ้า อันดับแรกที่คุณทำได้ก็คือ ไปดูใช่มั้ยครับ พิจารณา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความเครียดของเราก็เช่นกัน มันเป็นสัญญาณที่ร่างกายรู้สึกไม่ปลอดภัย มันจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคุณครับ) แค่คุณหยุดพิจารณานะครับ ดีกรีความร้อนรุ่ม/วิตกกังวลลดลงครึ่งหนึ่งทันทีเลย

การหายใจลึก ๆ ช้า ๆ คือวิธีการลดความเครียดที่ดีและไวที่สุด
การหายใจลึก ๆ และช้า ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะมันจะดึงสติของคุณให้กลับมาจดจ่อกับความคิดของคุณไปที่การหายใจครับ “เมื่อเราดึงความสนใจไปที่การหายใจและจดจ่อกับมันจริงๆ ความคิดที่กระตุ้นความวิตกกังวลจะเริ่มลดพลังลง อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลง และเราเริ่มสงบลง” ดอว์น สเตรตัน แพทย์พยาบาลของมหาวิทยาลัยวอลเดน บอกแบบนี้เลยครับ

แนะนำให้หายใจแบบ 4-7-8 เป็นสูตรที่เวิร์คมาก ๆ นั่นคือ
หายใจเข้าเป็นเวลา 4 วินาที
กลั้นหายใจเป็นเวลา 7 วินาที
หายใจออกช้าๆ เป็นเวลา 8 วินาที

ยอมรับ/รับรู้ว่ากำลังวิตกกังวลจริง ๆ แล้วบอกต่อไปว่าเดี๋ยวมันก็จะสลายไปเอง
เมื่อคุณประสบกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล คุณอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกว่าคุณจะเข้าใจมันจริงๆ ครับ ฉะนั้นการยอมรับและรับรู้ถึงความวิตกกังวลในสิ่งที่เป็นอยู่อาจช่วยให้คุณสงบสติอารมณ์ได้เร็วขึ้นครับ นักจิตวิทยาบอกว่าให้คุณหยุดพิจารณารับรู้ว่าสิ่งที่คุณรู้สึกคือความวิตกกังวลและพูดคุยกับตัวเอง ว่าเดี๋ยวกันก็จะผ่านไป บอกตัวเองเลยครับว่า “ฉันจะผ่านมันไปให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” เคล็ดวิธีนี้จะช่วยให้คุณแยกออกจากความรู้สึกกังวลนั้น เมื่อคุณแยกได้ว่านี่คือความวิตกกังวล ไม่ใช่คุณ แล้วมันก็จะค่อย ๆ สลายไปเองครับ

ลองใช้เทคนิคอยู่กับปัจจุบันด้วย 5-4-3-2-1
นี่คือหลักเคล็ดวิชา :
5 คือ มองไปรอบๆ ห้อง แล้วบอกชื่อห้าสิ่งที่คุณเห็นรอบๆ ตัวคุณ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นวัตถุ จุดบนผนัง หรือนกที่บินอยู่ข้างนอก กุญแจสำคัญคือการนับถอยหลังห้าสิ่งเหล่านั้น
4 คือการเรียกชื่อ สี่อย่าง ที่คุณสามารถสัมผัสได้ในขณะนั้น อาจเป็นพื้นใต้เท้าของคุณ เก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ หรือเส้นผมที่คุณใช้นิ้วสาง
3 คือการฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วรับทราบสามสิ่งที่คุณได้ยิน เสียงเหล่านี้อาจเป็นเสียงภายนอก เช่น พัดลมในห้อง หรือเสียงภายใน เช่น เสียงหายใจของคุณ
2 คือการสังเกตสองสิ่งที่คุณได้กลิ่น นั่นอาจจะเป็นน้ำหอมที่คุณใส่ หรือกลิ่นดินสอที่คุณถืออยู่
1 ให้สังเกตบางสิ่งที่คุณสามารถลิ้มรสได้ในปากของคุณ

เทคนิคนี้ได้ผลดีที่สุดหากคุณจับคู่กับการหายใจลึกๆ ช้าๆ ครับ

ลองใช้แบบฝึกหัดความคิด “File It”
เทคนิค “File It” ทำงานได้ดีเป็นพิเศษหากคุณนอนตื่นกลางดึกและคิดถึงทุกสิ่งที่คุณต้องทำหรือยังไม่ได้ทำ หรือคุณกำลังทบทวนบางสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน
ต่อไปนี้คือขั้นตอนในการดำเนินการแบบฝึกหัดนี้:

  1. หลับตาแล้วจินตนาการถึงตารางที่มีโฟลเดอร์แฟ้มและตู้เก็บเอกสาร
  2. ลองนึกภาพตัวคุณเองหยิบไฟล์แต่ละไฟล์ขึ้นมาแล้วจดชื่อความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวของคุณ เช่น การทะเลาะกับคู่ครอง งานนำเสนอที่คุณต้องนำเสนอในที่ทำงานพรุ่งนี้ หรือความกลัวที่จะป่วย โควิด-19.
  3. เมื่อชื่ออยู่ในไฟล์แล้ว ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อรับทราบความคิดและความสำคัญต่อคุณ จากนั้นให้เอากลับไปใส่ในแฟ้ม
  4. ทำขั้นตอนนี้ซ้ำกับทุกๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของคุณ จนกว่าคุณจะเริ่มรู้สึกสงบขึ้น (หรือง่วงนอน)

แนวคิดของแบบฝึกหัดนี้คือการที่คุณสละเวลาสักครู่เพื่อตั้งชื่อตัวกระตุ้น ตรวจสอบมัน แล้วตั้งสติเพื่อกำหนดเส้นตายเพื่อจัดการกับมันในภายหลัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณกำลังตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองและวางแผนที่จะจัดการกับมันทีละตัว เมื่อถึงเวลาที่ดีกว่าครับ

วิ่ง
“การออกกำลังกายอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจช่วยลดความวิตกกังวลได้” Patricia Celan จิตเวชศาสตร์ระดับสูงกว่าปริญญาตรีที่ Dalhousie University ในแคนาดาอธิบาย

การวิ่งรอบบล็อกด้วยความเร็วสูงเป็นเวลา 5 นาทีก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้คุณลดความวิตกกังวลได้อย่างรวดเร็ว Celan กล่าว แน่นอน คุณสามารถวิ่งได้นานขึ้นหากเป็นสิ่งที่คุณชอบ

คิดอะไรตลกๆ
“นึกภาพช่วงเวลาตลกที่คุณชื่นชอบ” Sultanoff กล่าว “ครั้งหนึ่งที่คุณหัวเราะหนักมากจนคุณล้มลงและ [เกือบ] ฉี่ใส่กางเกงของคุณ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสถานการณ์จริงหรืออาจเป็นสถานการณ์ที่คุณเห็นในละครซิทคอม นิทาน เรื่องตลก หรือการ์ตูนก็ได้”
เช่นเดียวกับการฝึกสติส่วนใหญ่ การสร้างภาพด้วยอารมณ์ขันช่วยให้คุณหมดกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้คุณกลับมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันของคุณใน “ตอนนี้” เท่านั้นครับ
“เมื่อคุณหัวเราะ คุณจะหดตัวและขยายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลทางร่างกาย ความเครียด และความตึงเครียด” นักจิตวิทยากล่าว

การหาสิ่งที่ผ่อนคลาย เพลิดเพลิน หรือไร้ความคิดเพื่อดึงความสนใจจากความคิดของคุณ
ตัวอย่างเช่น บางคนพบว่าการล้างจานหรือทำความสะอาดบ้านเป็นสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจที่ดี มันทำให้พวกเขารู้สึกกระฉับกระเฉงและต้องการสมาธิ แต่มันดึงพวกเขาออกจากการนั่งกังวลเฉยๆ
บางคน อาจชอบฟังเพลงสบายๆ ดูรายการทีวีหรือภาพยนตร์เรื่องโปรด (แค่หลีกเลี่ยงรายการที่น่ากลัวหรือเครียด) อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือเขียน
บางครั้งการลูบแมวหรือดื่มชาสักถ้วยก็ช่วยได้ เพียงให้แน่ใจว่าคุณเลือกกิจกรรมที่มีความเครียดต่ำเพื่อดึงความคิดของคุณออกจากแหล่งที่มาของความวิตกกังวลได้ครับ

อาบน้ำเย็น (หรือแช่น้ำแข็ง)
หากคุณกำลังประสบกับความวิตกกังวลอย่างรุนแรง Celan กล่าว จิตแพทย์บางคนมีวิธีค่อนข้างรุนแรง (และไม่น่าพอใจ) ที่จะทำให้คุณกลับสู่ความเป็นจริง: คุณสามารถเติมน้ำเย็นลงในชามใบใหญ่ โยนก้อนน้ำแข็งลงไป และจุ่มหน้าของคุณ ในน้ำเป็นเวลา 30 วินาที

“เทคนิคนี้กระตุ้นรีเฟล็กซ์การดำน้ำของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ซีแลนอธิบาย “มันหลอกร่างกายของคุณให้คิดว่าคุณกำลังว่ายน้ำ ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจึงช้าลง และร่างกายของคุณจะสงบลง”

หากคุณไม่อยากทำอะไรสุดโต่งแบบนี้ คุณสามารถสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ด้วยการกระโดดอาบน้ำเย็นหรือว่ายน้ำ

อีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ได้ผลและนักบำบัดพฤติกรรมวิภาษวิธีบางคนใช้คือวางมือหรือเท้าลงในน้ำเย็นประมาณหนึ่งนาที คุณยังสามารถถือก้อนน้ำแข็งจนกว่ามันจะละลายในมือของคุณ