สรุปหนังสือ “ฝึกสมองไม่ให้ทุกข์” สาเหตุทุกข์มาจากสมอง!

ความทุกข์ใจ ไม่ได้เกิดจากจิตใจ แต่มาจากสมอง สมองหมกมุ่น กับปัญหา จนเหนื่อยล้า จึงเกิดทุกข์ใจ ใครก็ตามที่ชอบหงุดหงิดกับแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ๆ จะทุกข์มากตาม

หนังสือ ฝึกสมองไม่ให้ทุกข์ ราคาโปรโมชั่นล่าสุดที่ https://shope.ee/9zOQKckqLi
  1. ทำไมการออกกำลังกาย หรือ ร้องเพลงสุดเสียง สามารถสลัดทุกข์ทิ้งไปได้?
  2. อะไรที่เป็นต้นเหตุให้ทุกข์ใจ กลุ้มใจ คิดไม่ตก?
  3. ความทุกข์ใจ คือ ความเหนื่อยล้า จากการคิด-วกวน
    การไม่อาจปล่อยวางปัญหา ที่ต่อให้คิดมาก(ในตอนนี้)เท่าไหร่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เรียกว่า ความทุกข์ใจ
    สมองหมกมุ่น กับปัญหา จนเหนื่อยล้า จึงเกิดทุกข์ใจ
    ความทุกข์ใจ ไม่ได้เกิดจากจิตใจ แต่มาจากสมอง
    ใครก็ตามที่ชอบหงุดหงิดกับแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ๆ จะทุกข์
    จิตใจ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ จึงอย่าได้พยายามเลย
  4. วิธีคลายความทุกข์ใจ
    ไม่ว่าใครก็มีความรู้สึกแง่ลบกันทั้งนั้น เรื่องราวในแต่ละวันทำให้อารมณ์แปรปรวนได้ และจะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อความรู้สึกเหล่านั้นครอบงำอยู่นาน จนทำให้สมองเปลี่ยน
  5. ความทุกข์ใจ ต่างจาก อารมณ์ความรู้สึก อย่างไรบ้าง?
    ทุกข์ใจ เพราะ สมองด้านอารมณ์ ยังไม่พัฒนา
    ความรู้สึก คือ สิ่งที่ขับเคลื่อนและยับยั้งการกระทำ
    ความรู้สึก คือ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ หรือยับยั้ง
    สมองซีกซ้าย = ยืนยันตัวตน ความรู้สึกของตนเอง
    สมองซีกขวา = ความรู้สึกของคนอื่น ประเมินคนอื่น
    ถ้าไม่อยากทุกข์ใจ ต้องให้ทั้งสองฝั่งสมดุล
    ปัญหาความทุกข์ใจ มาจากการกระตุ้นสมองด้านอารมณ์
    ถ้าไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ ความทุกข์ ก็ไม่เกิด
    อารมณ์แปรปรวน มาจากความไม่เข้าใจ กลัว ไม่รู้จริง
    เมื่อรู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร เข้าใจ ทุกข์หาย
    ความรู้สึกต่าง ๆ ล้วนเกิดจากสมอง ทั้งเชิงบวกและลบ ลบ ทำให้ทุกข์ใจ
  6. วิธีสร้างสมองที่ไม่ทุกข์ใจ
    ความทุกข์ใจ คือภาวะที่สมองคิดหาคำตอบไม่ได้ ความคิดจึงวนไปเวียนมาไม่จบสิ้น ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ลนลาน เศร้าสร้อย เกิดความรู้สึกแปรปรวน จนทุกข์ใจ

วิธีควบคุมความทุกข์ใจ

  1. ปรับสมดุล ระหว่าง ตัวเรา กับ คนอื่น ให้ลงตัว ไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่เห็นแก่เขามากเกินไป ทำให้แข็งแรงเท่า ๆ กัน
  2. หาให้เจอว่าฝั่งไหนอ่อนแอ ความเห็นแกตัวเอง หรือ ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เพิ่มการใช้งานฝั่งนั้นให้มากขึ้น
  3. ทิ้ง/สลัดส่วนที่คิดซ้ำย้ำวนออกไป หากิจกรรมที่ใช้สมองอีกฝั่งให้มากขึ้น
  4. ปิดสวิตช์ความรู้สึกกลุ้มใจซะ

วิธีใช้สมองให้เหมาะกับตนเอง

  • สมองมีอยู่ 8 กลุ่ม ทำหน้าที่ต่างกัน ได้แก่ กลุ่มความคิด – การเคลื่อนไหว – สื่อสาร – ความเข้าใจ – การจดจำ – การมองเห็น – การได้ยิน – ด้านอารมณ์
  • สมองมีการเติบโตตลอดช่วงอายุ
  • พัฒนาสมองได้ด้วยการ ทำกิจกรรมนันทนาการ เล่นกีฬา ชมงานศิลปะ หรือ ดูภาพยนตร์ ช่วยให้สมองเติบโตได้
  • สมองคนเราชอบทำในสิ่งที่ถนัด ทิ้งที่ไม่ถนัด จึงไม่สมดุล
  • การมีงานอดิเรกที่หลากหลาย ช่วยสร้างความสมดุลได้
  • สมองบริโภค ออกซิเจน กับ กลูโคส
  • ส่วนที่ใช้บ่อย จะได้รับอาหารสองอย่างนี้ไปตลอด
  • แต่ส่วนที่ไม่ได้ใช้ จะอดอยาก
  • ถ้าประสิทธิภาพในการเผาพลาญออกซิเจนในกายแย่ อารมณ์ก็จะแปรปรวน
  • แต่ถ้าเครียดคิดมาก สมองจะเรียกร้องดูดโลหิตมาเลี้ยงมากขึ้น แต่ไม่เกิดประโยชน์ ก็จะรู้สึกหงุดหงิด
  • การไม่ฉลาด ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาสมองอย่างหนึ่ง
  • สมองเป็นอวัยวะที่พัฒนาได้ตลอดไม่ว่าอายุเท่าไหร่ หากใช้ชีวิตโดยหมั่นใช้งานประสาทสัมผัสทั้งห้า ใฝ่รู้ เปิดใจ ประทับใจอะไรง่าย กระตือรือร้นกับประสบการณ์ใหม่ ๆ คุณก็จะมีสมองที่ไม่ทุกข์ได้

วิธีฝึกฝนสมองให้เหมาะกับความทุกข์ใจ
วิธีควบคุมลิ้นชักความทรงจำ
พิธีปิดสวิตช์ความรู้สึก

บทความที่มีเนื้อหาคล้ายกัน

สุดยอดเคล็ดวิธีปล่อยวาง สูตรลับโบราณ ล้างทุกข์ได้ทันที

ปมสำคัญที่สุดที่ทำให้มนุษย์โลกต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างสาหัส มาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อยวาง นักบวชผู้เข้าถึงธรรมแทบทุกท่านฟันธงฉับไปที่ “การปล่อยวาง” ท่านบอกว่าถ้าอยากบรรลุเข้าถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าได้พบ คุณต้องรู้จักปล่อยวาง แต่พูดตรง ๆ นะ เรื่องนี้พูดง่าย แนะนำง่าย แต่ “ทำได้โคตรยาก” เพราะเราได้สร้างปม ผูกโยงความเป็นตัวฉัน-ของฉัน สะสมเป็นบวงกรรมเอาไว้ตั้งแต่เริ่มรู้ความ มันก็คล้ายกับการที่ใครสักคนมีรูปร่างอ้วนฉุขึ้นมานั้น-ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันมาจากการ “สะสม” เก็บเล็กประสมน้อย จนกลายเป็นนิสัย เป็นสันดาน ที่ขุดรากถอนโคนยากเหลือเกิน ต้องใช้เวลา

ถึงกระนั้น การปล่อยวาง ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เราทำได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นจริงจัง ใครทำได้ใครปล่อยวางได้ดีเขาก็จะมีความทุกข์ที่น้อยลง กระนั้นเลย เราไม่ควรรีบหักด้ามพร้าด้วยเข่า คิดปล่อยวางด้วยการฟันฉับให้ขาดสะบั้นในทีเดียว มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ผู้ฉลากและเข้าใจโลดควรทำก็คือ “ค่อย ๆ ปล่อยวาง” ปล่อยทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน ยิ่งปล่อยมากขึ้น ก็ยิ่งเบาสบาย ทุกข์ก็ยิ่งลดลงไป นี่คือศิลปะการปล่อยวางแบบสโตอิก ที่เราควรทำความเข้าใจและเอาไปค่อย ๆ ปล่อยวางครับ

นักปราชญ์สโตอิกมองว่า ความหมายของคำว่าความสุขนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนคิดว่าความสุขคือการมีเงินมากมาย บางคนก็คิดที่จะมีความสุขกับการอยู่ร่วมกับคนที่รัก คำภาษากรีก eudaimonia สามารถแปลเป็นความสุขได้ แม้ว่าชาวสโตอิกจะใช้คำนี้เพื่ออธิบายสภาพความเป็นอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ การใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาตินำไปสู่ความสงบภายในและความพึงพอใจ 

  1. เปลี่ยนคำตัดสินของคุณ พวกสโตอิกเชื่อว่าเหตุการณ์ไม่ได้ดี(บวก)หรือไม่ดี(ลบ)โดยเนื้อแท้  แต่จิตใจทำให้มันเป็นเช่นนั้น  ทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญ? เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตส่วนใหญ่อยู่เหนือการควบคุมของเรา  และจริงๆ แล้วมีบางสิ่งที่เราควบคุมได้ สิ่งหนึ่งที่เราควบคุมได้คือความคิดเห็นของเราหรืออีกนัยหนึ่งคือความสามารถในการตัดสินของเรา อะไรก็ตามที่ไม่ขึ้นอยู่กับเราก็อย่าได้ยึดถือมันไว้ ปล่อยมันไป
  2. ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม คุณธรรมแบ่งได้เป็น ปัญญา ความยุติธรรม ความกล้าหาญ และความพอประมาณ ความชั่ว แบ่งออกเป็นความโง่, ความอยุติธรรม, ความขี้ขลาด, ความเย่อหยิ่ง ตามหลักสโตอิก คุณธรรมมักนำไปสู่ความสุข และความชั่วมักนำไปสู่ความทุกข์ยากเสมอ  ดังนั้น ทางออกของชีวิตที่มีความสุขจึงค่อนข้างง่าย: ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมและหลีกเลี่ยงความชั่วร้าย(ปล่อยมันไป)
  3. ลดความคาดหวังของคุณลง สาระสำคัญของความคาดหวังสูง คือ การที่เราคาดหวังผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ การมีจุดยืนดังกล่าวต่อสิ่งภายนอกจะนำไปสู่ความผิดหวังในที่สุด เพราะพวกเขามักจะไม่เป็นไปตามที่เราจินตนาการไว้

ทั้งสามเรื่องการปล่อยวางนี้ “ทำได้ไม่ยากเลย” คุณว่ามั้ย? นี่แหละคือแก่นของการเริ่มปล่อยวาง มันมาจากความคิด ความเชื่อ ของเราเองครับ ขอแค่เรารู้ที่มาของการยึดมั่นถือมั่น แล้วค่อย ๆ ปล่อยมันไป คุณก็จะเริ่มปล่อยและคลายมันไปได้แล้ว

เคยได้ยินนิทานเรื่อง “พรานนักจับลิง” กันมั้ยครับ? นายพรานผู้นี้มีเคล็ดลับง่าย ๆ ในการจับลิงก็คือ เอากล้วย หรือ ถั่ว หรือผลไม้ที่ลิงชอบ หย่อนลงไปในขวดโหลปากแคบ เอาไปวางในพื้นที่หากินของลิง พอลิงมาเห็นก็หย่อนมือลงไปในขวดโหล กำเอาของกินหมายเอาขึ้นมากิน แต่กลายเป็นว่ามือมันต้องติดอยู่ในขวดโหลนั้น มันไม่ยอมปล่อยของกิน มันก็เลยไปไหนไม่ได้ พรานก็มาจับลิงตัวนั้นไปได้อย่างง่ายดาย – นิทานเรื่องนี้สอนเรื่องการปล่อยวางได้ดีมากครับ วิธีการที่ดีที่สุดในการปล่อยวางก็คือ ทิ้งในสิ่งที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิตของคุณออกไปครับ

สาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์คืออะไร?

สาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์คืออะไร?

สาเหตุแห่งทุกข์มาจาก 2 ทางนี้ครับ คือ ทุกข์จากทางกายและ ทุกข์จากทางใจ

ทุกข์ทางกายคือความไม่รู้สึกสบายกาย อาทิเช่น ทุกข์จากความหนาว ทุกข์จากความร้อน ทุกข์จากความป่วยไข้ ทุกข์จากความบาดเจ็บ ทุกข์จากความหิวโหย ทุกข์จากร่างกายที่เสื่อมสภาพ เป็นต้น โดยทุกทางกายนี้มันเกิดขึ้นได้เองตามสังขารและก็ยังมาจากการกระทำของเราเองด้วยครับ

ทุกข์ทางใจ คือความทุกข์ที่เกิดจากความคิด เกิดจากการปรุงแต่งของความคิด บางคนเรียกว่าเกิดจากการปรุงแต่งของใจก็ได้เช่นกัน ความคิดที่ก่อให้เกิดทุกข์ได้แก่ความกลัว ความเสียใจทีหลัง ความหวาดหวั่นต่ออนาคต ความเครียด ความกังวล เป็นต้น บ่อยครั้งที่ความทุกข์ทางใจนั้นเกิดจากการกระทำของคนอื่น มาจากความคาดหวังในคนอื่น หรือเกิดจากความกังวลที่สืบเนื่องมาจากทุกข์ทางกายก็ได้เช่นกันยกตัวอย่างเช่นถ้าเราได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เราจะรู้สึกกังวลใจ มีความหวาดกลัวซึ่งมันยังไม่เกิดขึ้น แต่ความคิดนั้นสร้างไปแล้วทำให้เกิดความทุกข์

พุทธศาสนาบอกว่า ทุกข์ หมายถึง ‘ความทุกข์’ หรือ ‘ความไม่พึงพอใจ’ ของชีวิต บุคคลอาจทำตามความปรารถนาของตนได้ชั่วคราว แต่ความทุกข์ – ไม่ว่าทางกาย ทางอารมณ์หรือทางใจ – ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ความโกรธ เป็นต้นตอสำคัญให้เราเกิดความทุกข์ได้เช่นกันเมื่อเรามีความโกรธจะทำให้จิตใจดิ้นรนเกิดความร้อนรนขึ้นมาในใจ จะขยับไปทางไหนก็รู้สึกอึดอัดทุกอย่างดูขัดใจไปหมด ความโกรธก่อให้เกิดความเครียดความขุ่นเคืองใจ คับข้องใจ คับแค้นใจ อาฆาต มองโลกในแง่ร้าย ความพยาบาท เมื่อมีความโกรธแล้วเราจะปิดใจแสดงความไม่เป็นมิตรต่อคนอื่นและยังสร้างเรื่องราวมุมมองที่เป็นลบกับคู่กรณีนั้นก่อให้เกิดความเครียดความบาดหมางและก็ความทุกข์ที่ดีกรีสูงขึ้นด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วความโกรธนั้นมันมาจากการที่เราให้ความหมายกับการตอบสนองของคู่กรณีที่ผิดเพี้ยนไป มันเกิดมาจากตัวเราเอง เกิดจากค่านิยมการตีความและการตัดสินของเราเอง วิธีแก้ทุกข์จากความโกรธที่ดีที่สุดคือเราต้องรู้จักข่มสติเตือนสติตัวเองให้ได้หรือมีความสามารถในการตีตัวออกห่างจากสถานการณ์นั้นโดยทันที 

ความกลัว ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างสาหัสโดยที่แทบจะไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำไปเราทำร้ายตัวเอง ความกลัวเกิดจากการที่เราจินตนาการเหตุการณ์ในอนาคตในแง่ร้ายมากเกินไปทั้งๆที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย แต่เราสร้างสถานการณ์ สร้างแรงกดดันให้กับตัวเองทำร้ายตัวเองให้เกิดความเครียดก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง  วิธีแก้ที่ดีที่สุดก็คือบอกตัวเองว่าใครจะเกิดก็ให้มันเกิดเราทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอถ้ามีเหตุการณ์ที่มันเลวร้ายเกิดขึ้นจริงเราก็เตรียมตัวรับมือกับมันไว้ให้ดีที่สุดก็พอ แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ ทำวันนี้ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดต่อไปก็พอ

ความโลภ ความคาดหวัง ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความกังวล และความโกรธ ซึ่งถ้าเราเข้าใจสาเหตุที่มาของมันแล้วเราก็จะสามารถขจัดความทุกข์จากเรื่องนี้ออกไปได้อย่างไม่ยากนัก วิธีแก้ของนักปราชญ์เขาบอกว่าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับเราสิ่งนั้น “มันไม่ใช่ของเรา” อย่าโง่ไปฝืนพยายามควบคุมมันเพราะยิ่งพยายามควบคุมยิ่งคาดหวังกับมันเราก็ยิ่งทุกข์ไปเปล่าๆ ให้เราปล่อยมันไปตามยถากรรมของมันเอง อย่าเอาตัวเราไปยุ่งเกี่ยว ถ้าเราโฟกัสไปที่การรับผิดชอบการกระทำและความคิดของตัวเราให้ดีที่สุด คนอื่นก็เป็นชีวิตของเขาไป วิธีการนี้จะทำให้เรามีความสุขและก็ลดความทุกข์จากความคาดหวังได้อย่างมาก

วิธีการแก้ทุกข์แบบง่ายๆ ก็คือคุณต้องหาสาเหตุของความทุกข์นั้นให้เจอว่ามันมาจากอะไรมาจากกายหรือมาจากใจกันแน่ จากนั้นให้สืบค้นไปต่อว่าความทุกข์นั้นมันเป็นลักษณะอาการแบบไหนเช่นเป็นความกังวลไปเองกังวลไปก่อนหรือเปล่า หรือเป็นการเสียใจทีหลัง การสืบค้นแบบนี้ต้องใช้จิตใจและความคิดที่มีความเป็นกลางสูงมาก ถ้าท่านมีความยุติธรรมซื่อตรงกับตัวเอง ท่านจะหาสาเหตุของความทุกข์นั้นเจอแล้วจะแก้ไขและปลดปล่อยมันไปได้ หรือสามารถผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้ครับ

หลวงปู่ชา สุภัทโท สอนวิธีดับทุกข์ไว้ว่า

บางทีมีความสุขบางทีมันมีความทุกข์ บางทีสบาย บางทีรำคาญ บางทีรักคนโน้นบางทีเกลียดคนนี้ นี้คือธรรมะ เห็นไหม ให้รู้จักธรรมะต้องอ่านอารมณ์ ให้รู้จักอารมณ์นี้ถึงจะปล่อยอารมณ์ได้

เห็นว่าอารมณ์มันไม่แน่นอนแล้วอย่างนี้เราก็สบาย มันเกิดลุกวูบขึ้นมา ว่า “ฮือ…อันนี้ไม่แน่หรอก” แต่ไปอีกอารมณ์เปลี่ยนขึ้นมาว่า “ฮือ…อันนี้ก็ไม่แน่”..อันที่ว่า ไม่แน่นอน นี่แหละคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ว่ามันไม่แน่’

ความทุกข์ก็เหมือนกับความมืดความรู้และความเข้าใจก็เหมือนกับแสงสว่างถ้าเรารู้สาเหตุของความทุกข์ได้ว่ามันเกิดจากอะไรแล้วเราก็หาความรู้หรือมีความรู้เข้าใจถึงที่มาของมัน เหตุผลของมัน ก็จะเป็นเหมือนการฉายไฟไปยังความมืดนั้น แสงไฟจะทำให้ความมืดหรือความทุกข์นั้นหายไป ดังนั้นวิธีการแก้ความทุกข์ที่ดีที่สุดก็คือความเข้าใจในความทุกข์นั้นว่ามันมาจากอะไรถ้าเราเข้าใจก็เหมือนกับเราฉายไฟไปยังความมืดนั้นความมืดก็จะมลายหายไปเช่นเดียวกันกับความทุกข์นั้นครับ

ที่สำคัญ เราไม่ควรหนีความทุกข์ แต่ให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับความทุกข์นั้น ผมมั่นใจว่าคุณจะเห็นประโยชน์ของความทุกข์ได้อย่างมากมาย ในแบบที่คุณไม่เคยได้มาก่อนครับ

ปล. เรื่องแนวทางการดับทุกข์ และก้าวข้าม/อยู่เหนือความทุกข์ เป็นเป้าหมายหลักของเว็บไซต์ hidukkha.com แห่งนี้ครับ ผมให้สัญญาว่าจะนำเสนอแนวทางใหม่ ๆ ที่เอาไปปฏิบัตืใช้ได้จริงมาแชร์ให้อ่านกันเป็นประจำ ติดตามกันได้เลยครับ

8 คำคมที่ช่วยให้คุณพบความสงบสุข สลัดความทุกข์ได้ทันที

ประโยคสั้น ๆ ที่มีความหมายลึกซึ้งเหล่านี้ สามารถช่วยดึงสติให้คุณสลัดความเข้าใจผิด ซึ่งจะช่วยให้คุณมัปัญญามากพอที่จะสลัดความทุกข์/กังวลใจ/เครียดทิ้งไปได้ทันทีครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากมันมาก ๆ จึงอยากแชร์ให้ท่านที่ต้องการไอเดียในการดับทุกข์ทันที ลองทำความเข้าใจแล้วเอาไปคิดต่อดูครับ บางทีมันอาจจะช่วยให้คุณสลัดความทุกข์ที่คุณกำลังเผชิญในขณะนี้ออกไปทันทีก็ได้ครับ นี่คือ 8 คำคม ช่วยค้นหาความสงบสุข สลัดความทุกข์ได้ทันที จาก นักปราชญ์สโตอิกครับ

8 คำคมที่ช่วยให้คุณพบความสงบสุข สลัดความทุกข์ได้ทันที
  1. อย่าทุกข์กับปัญหาในจินตนาการ
    “There are more things … likely to frighten us than there are to crush us; we suffer more often in imagination than in reality.” – Seneca
    “มีหลายสิ่ง … มีแนวโน้มที่จะทำให้เรากลัวมากกว่าที่จะบดขยี้เรา เราทุกข์ทรมานในจินตนาการมากกว่าในความเป็นจริง” – เซเนกา
    แทบทุุกเรื่องในโลกนี้ โดยเฉพาะความขัดแย้ง ที่ก่อให้เราเกิดความทุกข์นั้น มาจากจินตนาการ มาจากสมองที่คอยสร้างเรื่องราวความขัดแย้งในหัวของเราครับ ถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจและพิสูจน์ชัดว่า ความกลัว ความขัดแย้ง ความเครียด ความกังวลนั้นมาจากความคิดฟุ้งซ่านของตนเองได้นะ คุณสลัดความทุกข์นั้นทิ้งได้ทันทีเลย
  1. ยอมรับความตายของคุณเอง
    “No man can have a peaceful life who thinks too much about lengthening it.”Seneca “ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะมีชีวิตที่สงบสุขได้ ถ้าเขาคิดมากเกินไปเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ยืนยาว(ไม่อยากตาย)” เซเนกา
    นี่ก็เป็นเคล็ดสำคัญเลยครับ ลองคิดต่อดูนะครับ ว่าถ้าเราตายไปในตอนนี้ ทุกอย่างก็จะดับหายไปตลอดกาล ไม่มีเราอยู่ ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ ฉะนั้นปัญหา/ความทุกข์/ความกังลว หรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็น “สิ่งชั่วคราว” ครับ ถึงแม้เราจะไม่ได้ตายจากไปในวันนี้ แต่เดี๋ยวความเครียด ความกังวล ความขัดแย้ง ที่เรากำลังทนทุกข์ในวันนี้มันก็จะต้องมลายหายไป แล้วมีเรื่องใหม่มาให้เราเครียดแทน ชีวิตก็เป็นแบบนี้ครับ ไม่มีแผลอะไรที่สดใหม่ยาวนานตลอดกาลหรอก เดี๋ยวมันก็จะถูกลืม เดี๋ยวมันก็จะลดดีกรีความรุนแรงไป ฉะนั้นเราจะไปเครียดทำไม ปล่อยมันไป อะไรที่ยอมได้ก็ยอม เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว
  2. จำไว้ว่าความคิดเห็นของใครสำคัญ
    “It never ceases to amaze me: we all love ourselves more than other people, but care more about their opinions than our own.”-Marcus Aurelius
    (ชอบมาก ๆ) “ฉันไม่เคยหยุดทำให้ฉันประหลาดใจ เราทุกคนรักตัวเองมากกว่าคนอื่น แต่สนใจความคิดเห็นของพวกเขามากกว่าตัวเราเอง” – มาร์คัส ออเรลิอุส
  3. จัดตารางความสงบในชีวิตของคุณ
    “Nothing, to my way of thinking, is a better proof of a well ordered mind than a man’s ability to stop just where he is and pass some time in his own company.” – Seneca “สำหรับวิธีคิดของฉัน ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ได้ว่าจิตใจมีระเบียบเรียบร้อยดีไปกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะหยุดอยู่ในที่ที่เขาอยู่และใช้เวลาร่วมกับเพื่อนของเขาเอง” – เซเนกา
  4. ค้นหาความงามในชีวิตประจำวัน
    “Observe the movements of the stars as if you were running their courses with them, and let your mind constantly dwell on the changes of the elements into each other. Such imaginings wash away the filth of life on the ground.” ― Marcus Aurelius, Meditations
    “สังเกตการเคลื่อนไหวของดวงดาวราวกับว่าคุณกำลังวิ่งไปตามเส้นทางของพวกมัน และปล่อยให้จิตใจของคุณจดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบซึ่งกันและกัน จินตนาการดังกล่าวล้างความสกปรกแห่งชีวิตบนพื้นดินออกไป” ― มาร์คัส ออเรลิอุส การทำสมาธิ
  5. ชมวิวจากเบื้องบน (มองภาพใหญ่/ภาพรวม)
    “Think of substance in its entirety, of which you have the smallest of shares; and of time in its entirety, of which a brief and momentary span has been assigned to you; and of the works of destiny, and how very small is your part in them.”-Marcus Aurelius
    “คิดถึงเนื้อหาทั้งหมดซึ่งคุณมีส่วนแบ่งน้อยที่สุด และเวลาทั้งหมดซึ่งกำหนดช่วงเวลาสั้น ๆ และชั่วขณะหนึ่งให้กับคุณ และการงานแห่งโชคชะตา และคุณมีส่วนน้อยเพียงใดในสิ่งเหล่านี้” – Marcus Aurelius
  6. Live By A Code
    “If it is not right do not do it; if it is not true do not say it.”-Marcus Aurelius
    “ถ้ามันไม่ถูกต้องอย่าทำ ถ้ามันไม่จริงอย่าพูดมันออกมา” – Marcus Aurelius
  7. ไตร่ตรองบ่อยๆ
    “The unexamined life is not worth living.”Socrates
    “ชีวิตที่ไม่ได้ตรวจสอบ ไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่” โสเครตีส

ลองเอาคำคมเหล่านี้ไปพิจารณาหาความหมายเพิ่มเติมกันดูครับ ไม่แน่นะครับ แค่คุณอ่านมันครั้งแรกมันก็ถึงกับช่วยสลัดปมปัญหาความทุกข์ในใจของคุณได้ทันทีเลยก็ได้ เพราะผมเองก็เป็นเช่นนั้นครับ

แก่ยังไง? ไม่ให้ทุกข์ สูตรนักปราชญ์ชาวกรีก

How to แก่ โดดเดี่ยว แต่มีความสุข

สรุปจากหนังสือ How to grow old (บ้านเรามีแปลเป็นไทย ชื่อ เคล็ดลับวัยชรา) ที่เขียนโดย กิแกโร ยอดนักปราชญ์ชาวกรีก ผู้เป็นบุคคลต้นแบบของปรัชญาสโตอิกครับ สำหรับผมแล้วนะ แนวคิดของปรัยญาสโตอิกนี้สามารถช่วยให้เราเข้าใจความทุกข์ และก้าวข้ามความทุกข์ได้ในแบบ “ราบคาบ” และยั่งยืนที่สุดครับ

วัยชรา ถือเป็นวัยที่ทุกคนไม่ชอบ คนชราจำนวนมากทุกข์กับสังขารของตนเอง ท่านซิเซโร ก็เคยคิดเช่นกันกันครับ แต่เมื่อท่านพิจารณามันให้ดีแล้ว ท่านก็พบทางออก ท่านก็เข้าใจ จึงปรับตัว ทำตัวให้เหมาะสม แล้วจากนั้นชีวิตวัยชราของท่านก็มีความสุขและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกเลยครับ นี่คือบทเรียนที่ท่านได้ครับ

1. วัยชราที่ดี เริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่มสาว – พัฒนา/สะสมความรู้/คุณสมบัติที่จะทำให้ใช้ชีวิตในยามแก่ได้อย่างมีคุณค่าตั้งแต่หนุ่มสาว

2. วัยชราเป็นช่วงชีวิตที่วิเศษได้-  ถ้าสะสมมาดีตั้งแต่วัยหนุ่มสาว

3. แต่ละช่วงชีวิตล้วนมีฤดูกาลที่เหมาะสมเสมอ – มองหาข้อดีของวัยชรา+ใช้ให้คุ้มที่สุด

4. คนชรามีเรื่องไว้สอนเด็ก/หนุ่มสาวมากมาย (ถ้าปรับตัวได้นะ อย่าทื่อ)

5. เราไม่จำเป็นต้องเลิกใช้ชีวิตอย่างคล่องแคล่วเพราะความชรา

6. กายชรา แต่ความคิดยังปราดเปรียว ยังฝึกได้

7. ต้องหาทางพึ่งพาตนเองให้ได้ อย่าพยายามพึ่งพาใครถ้าไม่จำเป็น

8.แท้จริงแล้ว เซ็กส์ ไม่ใช่ที่สุดของชีวิต

9. มีงานอดิเรกด้วยการทำสวนด้วยตัวเอง

10. ทำความเข้าใจให้ได้ว่า ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว

วิธีแก้ทุกข์ จากความรู้สึก ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย

ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ หาทางเข้ามาในชีวิตของเราทุกด้าน เราไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของเรา ในส่วนสูง ในเสียงของเรา นอกจากนั้น ความไม่มั่นใจอาจมีสาเหตุมาจากการถูกรังแกที่โรงเรียน หรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดียตลอดเวลาแล้วเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อีกทั้งประสบการณ์ในอดีตสามารถติดตามมาหลอกหลอนเราได้ตอลดทุกเมื่อ จากอดีตรวมถึงขั้นหลอกหลอนความมั่นใจในตนเองของเราในปัจจุบัน หรือหลายครั้งที่เหตุการณ์ประจำวันสามารถกระตุ้นความรู้สึกขาดอะไรไป ส่งผลให้ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัยได้เช่นกัน

วิธีแก้ทุกข์ จากความรู้สึก ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย

นักจิตวิทยาบอกว่า ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ทั้งหมดของเราอาจมีสาเหตุมาจากการขาดความภาคภูมิใจในตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดจากความคิดที่เราพูดถึงตัวเองในหัวอยู่ตลอดเวลาโดยวนเวียนอยู่กับความคิดเชิงลบ เช่น เรามีความสงสัยในตนเองว่ายังดีไม่พอหรือเปล่า (บางครั้งก็ด่าทอตนเอง กดดัน ด้อยค่าตนเองก็มี) และที่สำคัญเราชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง ส่งผลให้ตัวเองมักรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะเป็นตัวเอราเองที่ไม่ให้คุณค่ากับความเป็นอยู่ที่ดี/ข้อดี/จุดแข็งของเราในปัจจุบันนี้ครับ

คนที่มีความรู้สึกไม่มั่นคง มักรู้สึกประหม่า วิตกกังวล หรือลังเลใจในบางเรื่อง แม้ว่าพวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจ พอใจ หรือมั่นคงในตัวเองเลย

ความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยมีอยู่ 3 ประเภทนี้ครับ

  1. ความไม่ปลอดภัยส่วนบุคคล เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปลักษณ์หรือเสียงของคุณ และวิธีที่คนอื่นมองคุณ ถือเป็นความไม่มั่นคงในระดับผิวเผินสำหรับคนนอก(ที่สังเกตคุณ) มันก็คล้ายกับความกังวลเกี่ยวกับผมหรือเสื้อผ้าหรือตำหนิที่ไม่พึงประสงค์เท่านั้นเองครับ (แต่สำหรับเราแล้วมันเรื่องใหญ่มาก อย่างกับไปทำอะไรผิดกฎหมายประมาณนั้นเลย) สิ่งที่เราเอไปคิดมากเกินเบอร์นี่แหละที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมา ต้นตอสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคงส่วนบุคคลคคือ บุคลิกนิสัยพื้นฐานของเราเอง(ที่มาจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม) รวมถึงตัวร้ายสำคัญก็คือ โซเชียลมีเดีย นี่เองครับ
  2. ความไม่มั่นคงทางอาชีพ ในการทำงาน เกิดขึ้นในที่ทำงานของเรา และทำให้ผู้คนกังวลและประหม่าที่จะนำเสนอหน้าที่ประชุม/หรือไอเดียในกลุ่มหรือพูดมันออกมาครับ ความไม่มั่นคงเรื่องนี้มันทำให้คนเกิดความสงสัยในตนเองและทำให้เราชื่อว่าไม่ดีพอสำหรับการเลื่อนตำแหน่งหรือรับความเสี่ยงที่มากขึ้น และทำให้เราพลาดการบรรลุเป้าหมายที่อุตส่าห์ตั้งไว้อย่างดี
  3. ความไม่มั่นคงของความสัมพันธ์ ถือ เป็นเรื่องปกติและสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ มันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่คู่ควรกับคู่ครองของคุณและกับคนอื่น ๆ ความไม่มั่นคงเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความหึงหวง การโต้เถียง และพฤติกรรมครอบงำ ความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์อาจเกิดจากประสบการณ์ในอดีตกับคู่ครอง/แฟนคนก่อน หรือเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ หากพวกเขาสร้างบาดแผลใดๆให้ฝังใจของคุณครับ

สาเหตุของความไม่มั่นคงของเรามาจากไหน? (ถ้ารู้ก็สามารถเอาชนะมันได้)

การวิจัยพบว่า 40% ของความสุขของเรามาจากการที่เราได้สัมผัสกับเหตุการณ์ในชีวิตล่าสุด ส่วนความทุกข์นั้นจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความล้มเหลวในแง่มุมใดๆ ของชีวิตก่อน จากนั้นมันจะแทรกซึมเข้าไปในสมองสะสมสร้างความสงสัยในตนเอง แล้วก็จะส่งผลเสียต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความมั่นใจของเรา จนกลายเป็นความทุกข์ในที่สุดครับ

คุณเคยมีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาหรือไม่? พวกเขาตัดสินรองเท้าของฉันหรือไม่? พวกเขาคิดว่าฉันหัวเราะดังเกินไปหรือเปล่า? ฉันพูดอะไรโง่ๆ หรือเปล่า? ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่คนที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ขากความมั่นใจในตัวเองครับ

นักจิตวิทยาแนะนำ 10 เคล็ดลับในการเอาชนะความไม่มั่นคง/ไม่มั่นใจในตัวเอง ดังนี้

  1. เผชิญหน้ากับความรู้สึกของคุณ แทนที่จะหลีกเลี่ยง
  2. เรียนรู้ที่จะสร้างและมี growth mindset และตั้งเป้าหมายที่มั่นคง
  3. เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความพ่ายแพ้ แต่อย่าปล่อยให้มันควบคุมคุณให้เป็นผู้แพ้
  4. โอบรับคุณลักษณะและความหลงใหลทั้งหมดของคุณ
  5. ท้าทายความคิดเชิงลบของคุณ อย่าได้รีบเชื่อ แต่จงตั้งคำถามก่อนว่ามันมั่วหรือเปล่า และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  6. เข้าไปอยู่ในสังคมด้วยผู้คนที่เป็นบวกและให้กำลังใจ
  7. หมั่นฟัง/อ่านเรื่องราวของคนอื่นที่เขาสามารถเอาชนะความไม่มั่นคงของตนเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ว่าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน
  8. ลองสิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น
  9. ปล่อยวางผู้คนและสถานการณ์ที่กระตุ้นความไม่มั่นคงของคุณ อย่าเอามาคิดมาก มันไม่ใช่ของ ๆ เรา
  10. จงเป็นเพื่อนที่ดีของตัวเอง รู้สึกภูมิใจกับความก้าวหน้าของคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

ลองทำตามดูครับ ถ้าเราเข้าใจสาเหตุ ที่มาของความทุกข์ แล้วเรารู้ทันมัน ค่อย ๆ พิจารณามัน ในที่สุดเราก็จะค่อย ๆ สลายพลังความทุกข์นั้นได้แน่นอนครับ สู้ ๆ ครับ ความทุกข์ไม่ได้เป็นภัยหรอก แต่มันช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นต่างหากล่ะครับ

สุดยอดวิธีเอาชนะความทุกข์เพราะกลัวตาย ด้วยเคล็ด 3 ข้อ ง่าย ๆ

มนุษย์แทบทุกคนในโลกนี้ล้วนกลัวตาย ความกลัวตายมันคอยข่มขู่ มันทำให้เราเป็นอัมพาตทำอะไรไม่ถูก ใช่ครับ..ความกลัวตายถือเป็นต้นตอความทุกข์ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ โดยความกลัวตายนี้ถ้ามันไม่ทำให้เราตื่นในตอนกลางคืน มันก็ปลุกเราในยามตื่นอยู่ดี และยิ่งเราหวาดกลัวมันมากเท่าไหร่ เราก็จะทุกข์มากตามเท่านั้นครับ

จริงอยู่ที่เรารู้ว่า ทั้ง ๆ ที่ ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนมากสำหรับพวกเราทุกคน ไม่มีอะไรที่ชัวร์ที่แน่นอนเท่ากับยังไงซะเราก็ต้องตายแน่ ๆ แต่การไม่รู้ว่าอะไรรออยู่หลังจากความตาย ความไม่รู้นี่แหละที่กลายเป็นความทุกข์ที่คอยทรมานจิตใจของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย

ถึงกระนั้น ก็มีนักปราชญ์ของสโตอิก มองความตายในมุมที่แตกต่างออกไป โดย Epictetus กล่าวไว้ว่า “ความตายและความเจ็บปวดไม่ได้น่ากลัว แต่เป็นความกลัวต่อความเจ็บปวดและความตายที่เราจำเป็นต้องกลัว” เขาแนะนำให้เรากำหนดคุณค่าของความตายใหม่ ถ้าเรามีมุมมองที่เปลี่ยนไป การปรับความคิดใหม่ จะช่วยให้เราจะไม่ต้องทุกข์เพราะกลัวความตายอีกต่อไปครับ

เคล็ดลับของสโตอิกที่เอามาประยุกต์ใช้ ในการเอาชนะความกลัวตายคือ 1) การรับรู้ 2) การกระทำ และ 3) เจตจำนง 

ทั้งสามหลักต้องพึ่งพาอาศัยกัน เชื่อมโยงกัน และทำอย่างลื่นไหลอย่างลื่นไหลเท่านั้นถึงจะได้ผลดี อันจะช่วยลดความทุกข์จากการกลัวตายได้

  1. การรับรู้ พวกสโตอิกใช้เวลาและพลังงานเป็นจำนวนมากในการคิดและพยายามควบคุมการรับรู้ของพวกเขา เพราะการรับรู้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม หากการรับรู้ของเรามัวหมอง ระบายสีด้วยเรื่องไร้สาระ เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล การขาดความมั่นใจ ความกังวลใจ ชีวิตของเราก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เราสามารถสร้างกระบวนการรับรู้นลักษณะเดียวกับที่สร้างนิสัย โดยอุปนิสัยเกิดจากการฟัง ฝึกฝน พูดสิ่งเดียวกันวันแล้ววันเล่า เช่นเดียวกัน การรับรู้จะฝังแน่นผ่านการคิดและการฝึกฝนซ้ำๆ
  2. การกระทำ การรับรู้คือวิธีที่เราตีความความตายใหม่ การกระทำคือสิ่งที่เราทำกับมัน คุณกำลังทำอะไรเกี่ยวกับความกลัวนี้? ปล่อยให้มันทรมานคุณทำให้คุณต้องเป็นทุกข์เหรอ? คุณแค่ผลักมันออกจากความคิดไปก่อนแล้วมันจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่? คำถามเหล่านี้จะช่วยดึงสติเราให้แน่วแน่ในการกระทำเพื่อให้ “เอาชนะความกลัวของคุณ”  เช่น
    • ถ้าเราเฉยเมยต่อความตาย มันจะกลายเป็นเงาร้ายที่จะแข็งแกร่งขึ้น เข้มขึ้น แล้วมันอาจทำให้เราเป็นอัมพาตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน โอเคล่ะ…เราไม่ชอบคิดเกี่ยวกับมัน เราไม่ชอบพูดถึงมัน เราไม่กล้าจินตนาการว่ามันเกิดขึ้นกับเรา แต่การเปิดหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับมัน ยอมรับว่ามันมีจริงสิ่งที่เราควรจะทำ นั่นคือสิ่งที่เราทำกับมัน
    • เราจะไม่ปล่อยให้มันอ้อยอิ่งอยู่เหนือเราอีกต่อไป อย่าปล่อยให้การทุกข์ทรมานจากความตายวนเวียนมาและไปตามที่ใจต้องการ ต่อไปนี้เราจะเปิดตาจ้องมองมัน เราใช้มันเพื่อสร้างจูงใจ ไม่ใช่ทำให้เรากลัว
    • เราจะนึกถึงความตายเป็นกิจวัตร มันไม่ใช่การปฏิบัติที่ผิดปกติ แต่มันเป็นสิ่งที่สมควรทำต่างหากเล่า การทรมานจากความตายส่วนใหญ่มาจากความขัดแย้งหลายชั้นที่ถึงแม้จะเป็นความไม่แน่นอนที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต แต่ก็เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เราแค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อย่างไร หรืออะไรจะตามมาแค่นั้นเอง การยอมรับมันเป็นกิจวัตร ช่วยลดความเครียดกังวลเกี่ยวกับความตายได้ ใช่ครับชาวสโตอิก ปลดล็อคกุญแจสู่ความสุข ขจัดความกลัวตายไม่ใช่การเพิกเฉย แต่ด้วยการจ้องหน้ามันทุกวัน
  3. เจตจำนง ชาวสโตอิกแบ่งเจตจำนงออกเป็น ภายใน กับ ภายนอก
    • ภายนอกเป็นเพียงตรงกันข้าม สิ่งภายนอกคือสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ 
    • ภายในเป็นเพียงสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น การรับรู้และการกระทำ สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งทางเลือกที่เราควบคุม 
    • โดยเจตจำนงจะตัดสินทัศนคติของเราต่อสิ่งที่ไม่อยู่ในการควบคุมของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
    • ดู ๆ แล้วมันก็ค่อนข้างคล้ายกับการรับรู้และการกำหนดใหม่ว่าเรามองความตายอย่างไร เจตจำนงไม่เพียงแค่มีมุมมองใหม่ แต่ยังยอมรับว่าความตายคือสิ่งที่จักรวาล ธรรมชาติ มีไว้สำหรับเรา

Epictetus กล่าวถึง “ศิลปะแห่งการยอมจำนน” คือยอมจำนนต่อธรรมชาติ มันทำให้วัฏจักรของจักรวาลดำเนินไปตามวิถีของมันโดยไม่ต้องต่อสู้หรือสาปแช่งมัน อันที่จริงมันเป็นมากกว่าการยอมรับ มันคือการค้นหาความสงบในธรรมชาตินั้นคือการทำสิ่งที่เหมาะสม

ซิเซโรก็พูดทำนองเดียวกันและพูดตรงๆ ว่าการกลัวความตายนั้นค่อนข้างโง่เขลา “คนที่น่าสงสารจริงๆ คือคนที่อายุยืนยาวไม่ได้เรียนรู้ว่าความตายไม่มีอะไรต้องกลัว”

สรุป เคล็ดวิชาเอาชนะความกลัวตาย สูตรสโตอิก สั้น ๆ

  1. การกระทำ – ตีความ ความหมายของความตายใหม่
  2. การรับรู้ – เผชิญหน้ากับความตาย ทำให้มันอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น
  3. เจตจำนง – ยอมรับ ยอมจำนน เลี่ยงไม่ได้

เพราะฉะนั้น อย่าเอาความกลัวตายมาเป็นความทุกข์เลยครับ มันเป็นสิ่งที่ยังไงซะก็ต้องเกิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ยิ่งห้าม ยิ่งกลัวก็ยิ่งทุกข์ สิ่งที่สโตอิกแนะนำจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้วครับ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเอาไปปรับใช้แล้ว ถ้าทำได้คุณก็จะขจัดความทุกข์เกี่ยวกับความกลัวตายไปได้เด็ดขาด แต่ถ้าทำไม่ได้คุณก็จะอมทุกข์นี้ไว้ตราจนตายจริงแน่นอนครับ

ขอจบด้วยประสบการณ์ของตัวเองครับ ผมเคยกลัว (ตอนนี้ก็ยังคงกลัว – แต่ลดดีกรีความกลัวลงไปเยอะมาก)
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ลดความกลัวตาย คือ การได้เฝ้าคุณแม่ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และปล่อยท่านให้จากไปอย่างสงบ
หลังจากวันนั้น มุมมองของผมเปลี่ยนไปเลย ผมกลับมาตั้งคำถามและให้ความสนใจเรื่องเรื่องความตายอีกครั้ง
พบว่ามันเป็นเรื่องที่เราหนีไม่ได้ แม้จะพยายามฝืนเท่าไหร่ก็ตาม
ล่าสุดไปเจอคำสอนของปรัชญาสโตอิก ก็ยิ่งรู้สึกและมองว่าความตายเป็นเรื่องที่ไม่ควรกังวลอะไรเลย
สโตอิกและนักบวชตะวันตก เขามีคำพูดสื่อสารกันทุกวันว่า Memento mori (เป็นสำนวนภาษาละติน) “สักวัน ท่านต้องตาย”
เขามีการนึกถึงความตายอยู่ตลอดขณะจิต ให้ความตายเป็นเรื่องที่อยู่ในกิจวัตรประจำวันไปเลย
พอเราระลึกถึงความตาย เราจะโฟกัสกับปัจจุบันมากขึ้น
เขาบอกว่าถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน เราจะลดความทุกข์จากความคิดฟุ้งซ่านได้มหาศาลเลย (จริงมาก ๆ)
แนะนำหนังสือที่ช่วยให้เราเข้าใจและลดความกลัวตายได้

หนังสือที่ว่ามาทั้งหมดนั้น มีขายที่ร้านซีเอ็ดครับ หาซื้อได้ครับ ทั้งในร้านและออนไลน์

ทุกข์เพราะหย่าร้าง? สามีทิ้ง? นี่คือวิธีรับมือและ move on แบบเด็ดขาด

ทุกข์เพราะหย่าร้าง? สามีทิ้ง? แฟนทิ้ง เลิกกับแฟน นี่คือวิธีรับมือและ move on ที่ใช้งานได้ดีตั้งแต่ยุคโบราณ นักจิตวิทยาให้การรับรองว่ายังคงเวิร์ค ใคร ๆ ก็ ทำได้!
ผมไปเจอบทความ 5 กลยุทธ์สโตอิกเพื่อรับมือกับการเลิกราหย่าร้าง ที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่กำลังเครียด คิดมาก ทุกข์เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี รู้สึกอ้างว้าง เหมือนขาดอะไรไป เริ่มต้นนับหนึ่งไม่ถูก ฯลฯ ผมว่าคำแนะนำเหล่านี้ น่าจะช่วยชี้ทางสว่างหรือให้ไอเดียลดความทุกข์ให้ท่านได้ ไม่มากก็น้อยครับ
Ryan Holiday ผู้เขียนบอกว่า การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบรักอีกครั้ง จนกว่าคุณจะทำคุณอาจรู้สึกเหงา ความเหงาเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ด้วย แต่มีบางสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
ผู้คนทั่วไปมองสโตอิกผิดไป (สโตอิก คือ แนวคิดที่เกิดจากนักปราชญ์กรีก ที่มองโลกและชีวิตอย่างเข้าใจ โดยไม่พยายามเอาชนะและสร้างฝัน) พวกเขาไม่ใช่คนไร้ความรู้สึกและไร้ความรู้สึก แต่พวกเขาสามารถสัมผัสถึงอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่บีบคั้น บังคับ สร้างภาพแต่อย่างใด

ทุกข์เพราะหย่าร้าง? สามีทิ้ง? เลิกกับแฟน
นี่คือวิธีรับมือ และ move on แบบเด็ดขาด ปราชญ์แนะนำ ทำแล้วดีจริง ๆ
  1. เปลี่ยนมุมมองของคุณเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น
    การล่มสลายของความสัมพันธ์ระยะยาว อาจทำให้เราเชื่อว่าเราจะไม่สามารถก้าวต่อไปจากความเจ็บปวดนี้ได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองและปล่อยให้เรารู้สึกถึงความสุขของชีวิตอีกครั้ง (ตอนมีแฟน/มีคู่ เราเคยหงุดหงิด และอยากอยู่คนเดียวมาแล้วมิใช่เหรอ?) ฉะนั้นตอนนี้เราอาจเห็นโอกาสสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่เมื่อเวลาผ่านไป หรือ พบว่าการอยู่คนเดียวมันมีอิสระมากกว่าเป็นไหน ๆ
  2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้จดจ่ออยู่กับอดีต
    เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะนึกถึงสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว และไตร่ตรองถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อแก้ไข(รู้งี้) มันหยุดคุณไม่สามารถก้าวหน้าจากที่ที่คุณอยู่ในช่วงเวลาของการเลิกรา พวกสโตอิกรู้วิธีที่ยอดเยี่ยมในการก้าวข้ามอดีต: ด้วยการมีสติอยู่กับปัจจับัน เป็นการตระหนักรู้โดยไม่ใช้วิจารณญาณของช่วงเวลาปัจจุบัน พวกเขาฝึกสมาธิเพื่อจดจ่ออยู่กับปัจจุบันมากกว่าที่จะผูกติดอยู่กับอดีตที่เจ็บปวด เมื่อคุณเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า การอยู่กับปัจจุบันคืออำนานและความมีชีวิตหนึ่งเดียว(ไม่ใช่อดีต-เพราะอดีตตายแล้ว ฟื้นกลับมาไม่ได้/แก้ไขไม่ได้แล้ว) มันจะทำให้คุณสามารถสลัดทิ้งอดีตออกไปได้ง่ายขึ้น แล้วคุณจะมีชีวิตที่แท้จริงมากขึ้นครับ
  3. หาเวลาให้ตัวเองและเพื่อนและครอบครัวของคุณ
    กลยุทธ์ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการจัดการกับการเลิกราคือการดูแลตัวเอง (การดูแลตนเอง)
    ให้ความสำคัญกับความผาสุกทางร่างกายและจิตใจ เพราะการมีจิตใจที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณรักษาความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เร็วกว่าการมุ่งความสนใจไปที่การทรมานตนเอง
  4. ใช้มันเป็นเพียงหนึ่งบทในชีวิตของคุณ
    การเลิกราเป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว แต่ความจริงแล้ว(พูดก็พูดเถอะ)มันเป็นเพียงบท(ป้ายรถเมล์)เดียวใน(เส้นทาง)ชีวิตของคุณ คุณไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรหลังจากการเลิกรา และไม่มีอะไรผิดปกติกับการรู้สึกโกรธ เศร้า หรือรู้สึกผิดชั่วขณะหนึ่ง
    แต่คุณต้องจำไว้ว่าการเลิกราไม่ใช่จุดจบของชีวิตคุณ และจะมีอีกหลายตอนข้างหน้า
  5. จดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณควบคุมได้ อย่าจมอยู่กับสิ่งที่คุณทำไม่ได้
    ไม่มีใครสามารถควบคุมโลกภายนอกได้ (คนอื่นก็คือโลกภายอกครับ มันไม่ใช่ของคุณ) แต่คุณสามารถควบคุมวิธีตอบสนองต่อมันได้ ไม่ควรเสียเวลากับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ
    การเลิกราอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับมันหรือไม่เคยเห็นมันจะเกิดขึ้นก็ตาม ปล่อยมันไปเถอะ อะไรที่มันหลุดมือไปแล้ว.. ปล่อยคนๆ นั้นออกไปจากชีวิตคุณ แยกตัวออกจากความรู้สึกวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
    แต่พวกสโตอิกบอกว่าให้เรียนรู้วิธีจดจ่อกับสิ่งที่คุณควบคุมได้

หวังว่าไอเดียการแก้ทุกข์ที่เกิดจากความกังวล ความเครียด หลังจากหย่าร้าง เลิกรากับแฟน จากชาวสโตอิก จะช่วยให้ท่านลดความกังวลลงไปได้ไม่มากก็น้อย

ผมชอบคำหนึ่งที่ รูมิ กวีชื่อดังบอกว่า “It’s your road, and yours alone, others may walk it with you, but no one can walk it for you.” – Rumi (ชีวิตนี้)มันเป็นเส้นทางของคุณ และเป็นของคุณคนเดียว คนอื่นอาจจะเคยเดินร่วมทางเดียวกับคุณ แต่ไม่มีใครเดินทางแทนคุณได้ เราเกิดมาคนเดียว และก็จะต้องตายคนเดียว ไม่มีใครตายแทนเราได้หรอก คุณว่ามั้ย? (อย่าไปหวังว่าจะให้คนอื่นมาตายแทนเรา ทุกคนล้วนหวงชีวิตตนเองทั้งนั้น)

ถ้าคุณอยากมีความสุขในชีวิต คุณต้องพัฒนาทักษะการพึ่งพาตนเองให้ได้ครับ ถ้าคุณสามารถอยู่คนเดียวได้ พึ่งพาตนเองได้แล้ว ลดการพึ่งำาคนอื่นเพื่อให้เขาสร้างความสุขให้กับคุณได้แล้ว ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากขึ้นตามครับ เพราะความทุกข์ของผู้คนในโลกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราพยายามควบคุม/คาดหวังในสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา(คืออะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือตัวเรา โดยเฉพาะคนอื่น) เมื่อใดก็ตามที่เรากลับมาโฟกัสในการควบคุมตนเอง รับผิดชอบตัวเอง ไม่พึ่งพาคู่ หรือ แฟน ได้ เราจะมีความสุขมากขึ้น และยั่งยืนกว่าครับ

สุดยอดเคล็ดวิธีเอาชนะความวิตกกังวลให้หายไปในทันที!

ในโลกออนไลน์ฝรั่ง มีคนตั้งคำถามว่า “ฉันจะเอาชนะความวิตกกังวลในทันทีได้อย่างไร?
ก็มีนักจิตวิทยาแนะนำเคล็ดวิธีทำให้ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมได้อ่านแล้วพบว่ามันดีมากจริง ๆ และช่วยเอาชนะ/ขจัดความวิตกกังวล ความเครียด ลดความทุกข์ได้จริงครับ
ปล. เคล็ดบางอย่างอาจทำยากในสองสามครั้งแรกที่คุณลอง แต่ถ้าคุณฝึกฝนทำไปเรื่อย ๆ ให้ชินใจ เคล็ดเหล่านี้ก็จะปูทางที่รวดเร็วไปสู่ความสงบทางจิตใจและบรรเทาจากความรู้สึกวิตกกังวลของคุณได้แน่นอนครับ
นี่คือเคล็ดสั้น ๆ โดยสรุป (แต่อยากให้อ่านคำอธิบายแบบเต็ม ๆ จะได้ไอเดียที่ละเอียดกว่านะครับ)

ใช้ได้จริง สุดยอดเคล็ดวิธีเอาชนะความวิตกกังวล ให้หายไปในทันที!
  1. หายใจลึก ๆ
  2. ตระหนกที่คุ้นเคยคือการหายใจลึก ๆ
  3. ยอมรับว่าคุณกำลังเครียด วิตก อยุดพิจารณามัน
  4. ลองใช้เทคนิคการเผชิญปัญหา 5-4-3-2-1
  5. ลองใช้เทคนิค File it
  6. วิ่ง
  7. คิดถึงเรื่องตลกๆ
  8. เปลี่ยน/ทำกิจกรรมที่ลดความเครียด/สบายใจมากกว่า
  9. อาบน้ำเย็น (หรือแช่น้ำแข็ง)

สาเหตุของความรู้สึกวิตกกังวล
เริ่มต้นจากมีบางอย่างทำให้คุณผิดหวังครับ แล้วจากนั้นไม่นานนัก คุณจะรู้สึกติดอยู่ในวังวนแห่งความคิดที่วนเวียนฟูฟ่องในหัวไม่รู้จบ สมองของคุณจะพยายามสร้างซีนารีโอมากมาย คิดทุกอย่างที่เป็นไปได้ที่อาจผิดพลาดได้ มันก่อให้เกิดความเครียด แล้วสองก็จะทำงานต่อด้วยการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ยังผลทำให้ร่างกายของคุณเกร็ง หายใจเร็วขึ้น และคุณได้ยินเสียงหัวใจเต้นในหูตุบตับ ๆ ๆ

เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกถึงอาการเหล่านี้ แสดงว่าคุณมีความวิตกกังวลเแล้วล่ะครับ ให้หยุดกิจกรรมใด ๆ (ถ้าทำได้) บอกตัวเองว่าถึงเวลาสงบสติอารมณ์แล้ว ขั้นตอนแรกที่นักจิตวิทยาแนะนำก็คือ คือ “การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกนั้น” อย่ารีบแก้ แค่รับรู้ หยุดฟังเสียงเตือนของมัน (ความกังวล/เครียด เหมือลูกคุณส่งเสียงร้องให้จ้า อันดับแรกที่คุณทำได้ก็คือ ไปดูใช่มั้ยครับ พิจารณา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความเครียดของเราก็เช่นกัน มันเป็นสัญญาณที่ร่างกายรู้สึกไม่ปลอดภัย มันจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคุณครับ) แค่คุณหยุดพิจารณานะครับ ดีกรีความร้อนรุ่ม/วิตกกังวลลดลงครึ่งหนึ่งทันทีเลย

การหายใจลึก ๆ ช้า ๆ คือวิธีการลดความเครียดที่ดีและไวที่สุด
การหายใจลึก ๆ และช้า ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะมันจะดึงสติของคุณให้กลับมาจดจ่อกับความคิดของคุณไปที่การหายใจครับ “เมื่อเราดึงความสนใจไปที่การหายใจและจดจ่อกับมันจริงๆ ความคิดที่กระตุ้นความวิตกกังวลจะเริ่มลดพลังลง อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลง และเราเริ่มสงบลง” ดอว์น สเตรตัน แพทย์พยาบาลของมหาวิทยาลัยวอลเดน บอกแบบนี้เลยครับ

แนะนำให้หายใจแบบ 4-7-8 เป็นสูตรที่เวิร์คมาก ๆ นั่นคือ
หายใจเข้าเป็นเวลา 4 วินาที
กลั้นหายใจเป็นเวลา 7 วินาที
หายใจออกช้าๆ เป็นเวลา 8 วินาที

ยอมรับ/รับรู้ว่ากำลังวิตกกังวลจริง ๆ แล้วบอกต่อไปว่าเดี๋ยวมันก็จะสลายไปเอง
เมื่อคุณประสบกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล คุณอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกว่าคุณจะเข้าใจมันจริงๆ ครับ ฉะนั้นการยอมรับและรับรู้ถึงความวิตกกังวลในสิ่งที่เป็นอยู่อาจช่วยให้คุณสงบสติอารมณ์ได้เร็วขึ้นครับ นักจิตวิทยาบอกว่าให้คุณหยุดพิจารณารับรู้ว่าสิ่งที่คุณรู้สึกคือความวิตกกังวลและพูดคุยกับตัวเอง ว่าเดี๋ยวกันก็จะผ่านไป บอกตัวเองเลยครับว่า “ฉันจะผ่านมันไปให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” เคล็ดวิธีนี้จะช่วยให้คุณแยกออกจากความรู้สึกกังวลนั้น เมื่อคุณแยกได้ว่านี่คือความวิตกกังวล ไม่ใช่คุณ แล้วมันก็จะค่อย ๆ สลายไปเองครับ

ลองใช้เทคนิคอยู่กับปัจจุบันด้วย 5-4-3-2-1
นี่คือหลักเคล็ดวิชา :
5 คือ มองไปรอบๆ ห้อง แล้วบอกชื่อห้าสิ่งที่คุณเห็นรอบๆ ตัวคุณ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นวัตถุ จุดบนผนัง หรือนกที่บินอยู่ข้างนอก กุญแจสำคัญคือการนับถอยหลังห้าสิ่งเหล่านั้น
4 คือการเรียกชื่อ สี่อย่าง ที่คุณสามารถสัมผัสได้ในขณะนั้น อาจเป็นพื้นใต้เท้าของคุณ เก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ หรือเส้นผมที่คุณใช้นิ้วสาง
3 คือการฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วรับทราบสามสิ่งที่คุณได้ยิน เสียงเหล่านี้อาจเป็นเสียงภายนอก เช่น พัดลมในห้อง หรือเสียงภายใน เช่น เสียงหายใจของคุณ
2 คือการสังเกตสองสิ่งที่คุณได้กลิ่น นั่นอาจจะเป็นน้ำหอมที่คุณใส่ หรือกลิ่นดินสอที่คุณถืออยู่
1 ให้สังเกตบางสิ่งที่คุณสามารถลิ้มรสได้ในปากของคุณ

เทคนิคนี้ได้ผลดีที่สุดหากคุณจับคู่กับการหายใจลึกๆ ช้าๆ ครับ

ลองใช้แบบฝึกหัดความคิด “File It”
เทคนิค “File It” ทำงานได้ดีเป็นพิเศษหากคุณนอนตื่นกลางดึกและคิดถึงทุกสิ่งที่คุณต้องทำหรือยังไม่ได้ทำ หรือคุณกำลังทบทวนบางสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน
ต่อไปนี้คือขั้นตอนในการดำเนินการแบบฝึกหัดนี้:

  1. หลับตาแล้วจินตนาการถึงตารางที่มีโฟลเดอร์แฟ้มและตู้เก็บเอกสาร
  2. ลองนึกภาพตัวคุณเองหยิบไฟล์แต่ละไฟล์ขึ้นมาแล้วจดชื่อความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวของคุณ เช่น การทะเลาะกับคู่ครอง งานนำเสนอที่คุณต้องนำเสนอในที่ทำงานพรุ่งนี้ หรือความกลัวที่จะป่วย โควิด-19.
  3. เมื่อชื่ออยู่ในไฟล์แล้ว ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อรับทราบความคิดและความสำคัญต่อคุณ จากนั้นให้เอากลับไปใส่ในแฟ้ม
  4. ทำขั้นตอนนี้ซ้ำกับทุกๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของคุณ จนกว่าคุณจะเริ่มรู้สึกสงบขึ้น (หรือง่วงนอน)

แนวคิดของแบบฝึกหัดนี้คือการที่คุณสละเวลาสักครู่เพื่อตั้งชื่อตัวกระตุ้น ตรวจสอบมัน แล้วตั้งสติเพื่อกำหนดเส้นตายเพื่อจัดการกับมันในภายหลัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณกำลังตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองและวางแผนที่จะจัดการกับมันทีละตัว เมื่อถึงเวลาที่ดีกว่าครับ

วิ่ง
“การออกกำลังกายอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจช่วยลดความวิตกกังวลได้” Patricia Celan จิตเวชศาสตร์ระดับสูงกว่าปริญญาตรีที่ Dalhousie University ในแคนาดาอธิบาย

การวิ่งรอบบล็อกด้วยความเร็วสูงเป็นเวลา 5 นาทีก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้คุณลดความวิตกกังวลได้อย่างรวดเร็ว Celan กล่าว แน่นอน คุณสามารถวิ่งได้นานขึ้นหากเป็นสิ่งที่คุณชอบ

คิดอะไรตลกๆ
“นึกภาพช่วงเวลาตลกที่คุณชื่นชอบ” Sultanoff กล่าว “ครั้งหนึ่งที่คุณหัวเราะหนักมากจนคุณล้มลงและ [เกือบ] ฉี่ใส่กางเกงของคุณ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสถานการณ์จริงหรืออาจเป็นสถานการณ์ที่คุณเห็นในละครซิทคอม นิทาน เรื่องตลก หรือการ์ตูนก็ได้”
เช่นเดียวกับการฝึกสติส่วนใหญ่ การสร้างภาพด้วยอารมณ์ขันช่วยให้คุณหมดกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้คุณกลับมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันของคุณใน “ตอนนี้” เท่านั้นครับ
“เมื่อคุณหัวเราะ คุณจะหดตัวและขยายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลทางร่างกาย ความเครียด และความตึงเครียด” นักจิตวิทยากล่าว

การหาสิ่งที่ผ่อนคลาย เพลิดเพลิน หรือไร้ความคิดเพื่อดึงความสนใจจากความคิดของคุณ
ตัวอย่างเช่น บางคนพบว่าการล้างจานหรือทำความสะอาดบ้านเป็นสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจที่ดี มันทำให้พวกเขารู้สึกกระฉับกระเฉงและต้องการสมาธิ แต่มันดึงพวกเขาออกจากการนั่งกังวลเฉยๆ
บางคน อาจชอบฟังเพลงสบายๆ ดูรายการทีวีหรือภาพยนตร์เรื่องโปรด (แค่หลีกเลี่ยงรายการที่น่ากลัวหรือเครียด) อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือเขียน
บางครั้งการลูบแมวหรือดื่มชาสักถ้วยก็ช่วยได้ เพียงให้แน่ใจว่าคุณเลือกกิจกรรมที่มีความเครียดต่ำเพื่อดึงความคิดของคุณออกจากแหล่งที่มาของความวิตกกังวลได้ครับ

อาบน้ำเย็น (หรือแช่น้ำแข็ง)
หากคุณกำลังประสบกับความวิตกกังวลอย่างรุนแรง Celan กล่าว จิตแพทย์บางคนมีวิธีค่อนข้างรุนแรง (และไม่น่าพอใจ) ที่จะทำให้คุณกลับสู่ความเป็นจริง: คุณสามารถเติมน้ำเย็นลงในชามใบใหญ่ โยนก้อนน้ำแข็งลงไป และจุ่มหน้าของคุณ ในน้ำเป็นเวลา 30 วินาที

“เทคนิคนี้กระตุ้นรีเฟล็กซ์การดำน้ำของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ซีแลนอธิบาย “มันหลอกร่างกายของคุณให้คิดว่าคุณกำลังว่ายน้ำ ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจึงช้าลง และร่างกายของคุณจะสงบลง”

หากคุณไม่อยากทำอะไรสุดโต่งแบบนี้ คุณสามารถสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ด้วยการกระโดดอาบน้ำเย็นหรือว่ายน้ำ

อีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ได้ผลและนักบำบัดพฤติกรรมวิภาษวิธีบางคนใช้คือวางมือหรือเท้าลงในน้ำเย็นประมาณหนึ่งนาที คุณยังสามารถถือก้อนน้ำแข็งจนกว่ามันจะละลายในมือของคุณ

ความทุกข์ในชีวิตจริง ไม่อิงศาสนา มาจาก 14 เรื่องนี้

นี่คือ 14 เหตุผลที่ทำให้เราต้องทนทุกข์(หรือสร้างความทุกข์ขึ้นมา) และวิธีเปลี่ยนจากทุกข์เป็นการหลุดพ้น/เหนือทุกข์

ทุกคนมีความทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของสภาพมนุษย์ เราทุกข์เพราะความฉลาดของความเป็นมนุษย์มากกว่าที่จะมาจากปัจจัยภายนอก ใช่ครับเราทุกข์จากตัวเราเอง มาจากการรับรู้ การตีความสิ่งต่าง ๆ ของเราเอง

มนุษย์แทบทุกคนกลัวความทุกข์ โดยที่เขาลืมว่าเขาก็เหมือนเด็กที่กลัวเงาตนเอง

เรากลัวความทุกข์เพราะเราไม่รู้ ถ้าคุณรู้จักมันดีความทุกข์ทรมานอาจเป็นประตูสู่วิวัฒนาการส่วนบุคคล สู่การเติบโตและการขยายตัว หากคุณเลือกที่จะเปลี่ยนความคิดและการรับรู้เกี่ยวกับความทุกข์นั้นได้ครับ

ข่าวร้ายคือ: เราเป็นผู้สร้างความทุกข์ของเรา

ข่าวดีก็คือ : เมื่อเราเป็นผู้สร้างความทุกข์ของเรา เราก็สามารถดับมันได้

เราสามารถหยุดความทุกข์ของตัวเองได้ด้วยการทำความเข้าใจรากเหง้าของสิ่งที่ทำให้เราทุกข์แล้วลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนบทสนทนาภายในของเราหรือการทำสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ก็มีประโยชน์ ก็สามารถบรรเทาความทุกข์นั้นได้เช่นกันครับ

ความทุกข์เกิดจาก 14 เรื่องดังต่อไปนี้ครับ

1. การต่อต้านความไม่เที่ยง คุณต้องการให้ทุกอย่างเหมือนเดิม คุณไม่ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นเพียงชั่วคราว ชีวิตเคลื่อนที่เป็นวัฏจักรทำให้เกิดชีวิตใหม่และใช่ ความตาย และไม่มีอะไรจะหยุดการเคลื่อนไหวสากลนั้นได้ การยอมรับว่าทุกสิ่งที่มีอยู่เป็นเพียงชั่วคราวทำให้คุณสามารถปลดปล่อยความผูกพันกับสิ่งของ ผู้คน และแม้กระทั่งคำจำกัดความของตัวคุณเอง นี่คือวิธีที่คุณเรียนรู้และพัฒนาต่อไป

2. มองว่าตัวเองแยกจากคนอื่น เราเป็นสัตว์สังคม ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ แม้จะอยู่คนเดียว แต่การกระทำของคนอื่นก็จะหลงเข้ามาแทรกแซงความเป็นส่วนตัวของเราจนได้ ยิ่งต้องการความเป็นส่วนตัว ยิ่งไม่หยากให้ใครมายุ่ง(แต่ก็หนีไม่พ้น)ก็ยิ่งทุกข์

3. ความยึดมั่นในตัวฉันของฉัน เมื่อคุณเลือกระบุตัวตน อะไรก็ตามที่ท้าทายความรู้สึกมีคุณค่าของคุณจะกลายเป็น ภัยคุกคามหรือดูถูกหรือปริศนา คุณทนทุกข์เพราะมีคนแนะนำว่าคุณไม่ใช่คนหรือสิ่งที่คุณเชื่อว่าตัวเองเป็น

4. ต้องการให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นความเป็นจริง

5. ให้น้ำหนักเสียงวิจารณ์จากภายนอกแทนที่จะเชื่อมั่นตัวเอง

6. ใช้ชีวิตของไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณและสิ่งที่คุณเชื่ออย่างแท้จริง 

7. Living from the outside in ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และวิจารณ์ตัวเองว่า “ไม่เพียงพอ” อยู่เสมอ

8. การเลือกความกลัวมากกว่าความรัก คุณมีสองทางเลือกในการใช้ชีวิตของคุณ คุณสามารถเลือกความกลัวหรือความรัก ความกลัวทำให้เกิดความคิดที่ทำให้หัวใจ จิตใจ และร่างกายของเราหดตัว คุณจำกัดตัวเอง คุณปกป้องตัวเองจากชีวิต ไม่มีทางบรรลุสัมฤทธิผลและมีศักยภาพเมื่อคุณดำเนินชีวิตด้วยความกลัว คุณซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา เฉพาะเมื่อคุณเลือกที่จะใช้ชีวิตจากสถานที่แห่งความรักเท่านั้น คุณสามารถสร้างการมองโลกในแง่ดี ความกล้าหาญ และความเห็นอกเห็นใจ

9. แสวงหาความมั่นคงในโลกที่ไม่แน่นอนและคลุมเครือ ชีวิตเป็นแบบไดนามิกและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและคาดเดาไม่ได้ คุณต้องเรียนรู้ที่จะเต้นกับทุกสิ่งที่เข้ามาหาคุณ คุณจะทุกข์ทรมานเมื่อคุณแสวงหาภาพลวงตาของความปลอดภัยและความมั่นคง เพราะสิ่งที่คุณกำลังมองหาที่นั่นสามารถพบได้ภายในเท่านั้น การเชื่อมั่นในตัวเองและสิ่งที่คุณยืนหยัดเพื่อช่วงเวลานั้นเป็นหนทางเดียวที่จะนำพาตัวคุณไปสู่ความไร้เหตุผล

10. อยู่กับอดีตหรืออนาคต เสียใจทีหลัง – กลัว/ระแวง/หวั่นใจ คุณอาจจะสนุกกับความทรงจำของคุณมากขึ้นถ้าคุณไม่ยึดติดกับมันในตอนนี้เหมือนเมื่อก่อน คุณสามารถทะเยอทะยานไปสู่อนาคตได้หากคุณยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่ไม่แน่นอน 

11. เล่นบทเหยื่อ ทุกครั้งที่คุณเล่นเป็นเหยื่อหรือคุณโทษใครซักคนหรืออย่างอื่น(หลงผิดคิดว่าเป็นเหยื่อแล้วรู้สึกเป็นคนสำคัญ) เท่ากับว่าคุณสละอำนาจในการใช้ชีวิตให้ดีที่สุดตามสถานการณ์ คุณพบว่าตัวเองไม่มีอำนาจหรือสิทธิ์เสรีตลอดชีวิต คุณสร้างความขุ่นเคือง ความกลัว และความโกรธที่บั่นทอนพลังงานของคุณและจำกัดศักยภาพของคุณ เมื่อคุณสร้างพลังให้ตัวเอง คุณใช้ปัญญาภายในเพื่อเลือกสิ่งที่จะช่วยคุณในการสร้างชีวิตที่กลมกลืนและไหลลื่น

12. โฟกัสที่ความสะดวกสบายแทนที่จะการเติบโต มนุษย์ไม่ชอบที่จะอึดอัด เมื่อคุณเลือกความสะดวกสบายมากกว่าการเติบโต คุณจะกลายเป็นนักโทษเพื่อความสบายใจของคุณ คุณถูกกำหนดให้เป็นอิสระ อิสรภาพมาจากสิ่งที่คุณเป็นได้และกล้าหาญพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ อุปสรรคที่ท้าทายเหล่านั้นจะกลายเป็นประตูสู่โอกาสเมื่อคุณมีส่วนร่วมแม้จะไม่สบายก็ตาม

13. แคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง

14. ปฏิเสธข้อบกพร่องของตัวเอง คุณมีเงาหรือความมืดในตัวคุณ ทุกคนทำ. มีสิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองอยู่เสมอ มักมีบาดแผลที่ต้องรักษาให้หาย เมื่อคุณวิ่งหนีจากเงามืด ส่วนนั้นในตัวคุณจะไม่สามารถคืนดี ให้อภัย และรักษาให้หายได้ พวกเขาจะหลอกหลอนคุณเสมอ รอคอยที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณคาดหวังน้อยที่สุดผ่านการก่อวินาศกรรม ความไม่เมตตาต่อผู้อื่น ความโกรธ และความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การรับมือกับอารมณ์ที่ยากลำบากที่คุณรู้สึกหมายถึงการเห็นอกเห็นใจตัวเอง รักตัวเองอย่างที่คุณเป็น การหนีจากส่วนที่คุณปฏิเสธจะทำให้คุณต้องทนทุกข์ทรมาน การยอมรับและการให้อภัยทำให้เกิดความซาบซึ้ง การรักตนเอง และความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองและผู้อื่น

นี่เป็นสาเหตุของความทุกข์หลัก ๆ ที่เป็นเรื่องจริงของความเป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องอิงคำสอนของพระศาสดาใด ๆ ขอให้คุณพยายามทำความเข้าใจให้ดี รับรองว่าคุณจะเข้าใจความจริง ที่มาของความทุกข์ได้มากขึ้น และความรู้นี้จะช่วยให้คุณมีความสุขมากขึ้นตามครับ